กรมพัฒนาธุรกิจฯ ระบุ 8 เดือนต่างชาติขอลงทุนในไทย 132 ราย ขนเงินลงทุน 9.3 พันล้าน ชี้เดือนส.ค.สิงคโปร์-เนเธอร์แลนด์-โปแลนด์ มากสุด มั่นใจระยะยาวช่วยถ่ายทอดนวัตกรรมใหม่ให้ไทย ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า ไฮสปีดเทรน และโดรน
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเปิดเผยว่า ภาพรวม 8 เดือน (ม.ค. – ส.ค.) มีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจในไทย 132 ราย เงินลงทุน 9,383 ล้านบาท ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ได้อนุญาตให้คนต่างชาติ 24 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และโปแลนด์ ซึ่งมีเม็ดเงินเข้าลงทุนประกอบธุรกิจกว่า 908 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานคนไทย 636 คน
สำหรับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในครั้งนี้ จะมีผลให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นวิทยาการซึ่งเป็นองค์ความรู้ในแขนงที่คนไทยยังไม่มีความชำนาญหรือมีความเชี่ยวชาญในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Electronic Vehicle) องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบรถไฟความเร็วสูงเทคนิคการเดินรถไฟความเร็วสูง องค์ความรู้เกี่ยวกับการขนย้ายและติดตั้งแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม และองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ในอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ 1. ธุรกิจนายหน้า/ ค้าปลีก/ค้าส่งสินค้าสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม จำนวน 3 ราย เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น และสิงคโปร์ มีเงินลงทุนจำนวน 144 ล้านบาท ได้แก่ การทำกิจการนายหน้าเพื่อจำหน่ายสินค้าประเภทซิลิโคน (Silicones) โลหะผสมพิเศษ (Specialty foundry alloys) วัสดุคาร์บอนผสมเพื่องานอุตสาหกรรม (Carbon materials) ซิลิคอนและไมโครซิลิกา (Silicon materials and Microsilica) เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การค้าปลีกเครื่องทดสอบกำลังไฟและทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าสำหรับแบตเตอรี่ของยานพาหนะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าส่งโช๊คอัพรถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนของโช๊คอัพรถจักรยานยนต์
2. ธุรกิจบริการโดยเป็นคู่สัญญากับเอกชน จำนวน 3 ราย เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น และอิตาลี มีเงินลงทุนจำนวน 244 ล้านบาท ได้แก่ บริการบริหารจัดการและให้บริการเดินรถและซ่อมแซมบำรุงรักษาโครงการเกี่ยวกับรถไฟ (Operation-Maintenance) และการดำเนินกิจการทางพาณิชย์ (Commercial Operation) ภายใต้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา และบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และติดตั้งแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม (Wellhead Platforms) รวมถึงการเชื่อมต่อท่อลำเลียงใต้ทะเล (Associated Pipes and Tie-In) และเชื่อมต่อการทำงานกับแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม