นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธอส. เปิดโครงการสินเชื่อบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 วงเงิน 20,000 ล้านบาท ถือว่ากระแสตอบรับที่ดีมาก มียอดผู้ยื่นขอสินเชื่อเกินกว่ากรอบวงเงินโครงการแล้วกว่า 2 เท่าแล้ว หรือมียอดขอเป็นวงเงินกว่า 49,590 ราย วงเงิน 59,508 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากธอส.อนุมัติวงเงินสินเชื่อครบ 20,000 ล้านบาทบอร์ดธอส.อาจพิจารณาเพิ่มกรอบวงเงินของโครงการดังกล่าว
“ปัจจุบันคนขอสินเชื่อบ้านล้านหลังเฟส 2 ทะลุกรอบปัจจุบันโครงการไปแล้ว ซึ่งการที่คนสนใจจำนวนมากนั้นเนื่องจากเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ คิดอัตราเพียง 1.99% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้ประชาชนยังมีส่วนที่เช่าบ้านหรือที่พักอยู่จำนวนมาก เมื่อมีโอกาสซื้อบ้าน ก็จะเปลี่ยนจากที่ต้องเสียค่าเช่า เป็นจ่ายค่าผ่อนบ้าน เพื่อจะได้มีบ้านเป็นของตนเองคนที่อยากมีบ้านจึงสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย“
พร้อมกันนี้ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่ยังขายได้ ดูจากที่กรมธนารักษ์ได้ นำที่ราชพัสดุที่ตกเป็นของแผ่นดิน โดยการยึดมาจากคดีความผิดในการฟอกเงินตามกฎหมาย มาจัดประมูลขายผ่านทางออนไลน์นั้นก้มีผู้สนใจจำนวนมาก ในรอบแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 สร้างรายได้ให้รัฐบาลจากการประมูลนี้ 320 ล้านบาท และในรอบที่สองเมื่อเดือนสองหาคมที่ผ่านมา สร้างรายได้อีกประมาณ 300 ล้านบาท โดยทรัพย์ส่วนใหญ่เป็น ที่ดิน บ้านพร้อมที่ดิน ห้องชุด อาคารพาณิชย์
“เช่นที่ดินที่จังหวัดจันทบุรี มีผู้สนใจรอบประมูลกว่า 100 ครั้ง โดยราคาเปิดประมูลที่ 1,700,000 บาท และจบการประมูลที่ 3,600,000 บาท เป็นต้น หากมองให้ภาพรวม ด้านกลุ่มห้องชุด หรือคอนโดมิเนียม ก็มีกระแสข่าวว่าขายไม่ง่าย แต่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังออกมาย้ำว่า ประชาชนยังมีความต้องการซื้ออยู่ และยังมีแผนสร้างโครงการใหม่ๆเพิ่มเติม”
ส่วนคอนโด ที่ยังคงรอการขายอยู่ ก็อยากจะเสนอแนวคิดว่าน่าเปิดให้ชาวต่างชาติได้มีสิทธิซื้อ เพราะเป็นทรัพย์สินที่เอานอกจากประเทศไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องมีลงทุน หรือสร้างโครงการเพิ่มเลย เพราะใช้คอนโดที่สร้างไว้รอการขายแล้ว เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นช่องที่เพิ่มรายได้เข้าประเทศอีกทาง
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวว่า ขณะนี้ยอดลงทะเบียนขอสินเชื่อบ้านล้านเฟส 2 มีจำนวนมากถึง 59,508 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ยื่นกู้มา 1,200 ล้านบาท ธนาคารอนุมัติแล้วประมาณ280 ล้านบาทเท่านั้น อย่างไรก็ตามธนาคารจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้กู้อย่างรอบคอบเนื่องจากยังมีระยะเวลาอนุมัติสินเชื่ออีกนาน ส่วนเรื่องการเพิ่มกรอบวงเงินนั้นจะต้องรออนุมัติให้เต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาทก่อนถึงจะพิจารณาขยายกรอบต่อไป