นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมออก โครงการสินเชื่อดอกบี้ยต่ำช่วยคนตกงาน ในวงเงินรวม 5 พันล้านบาท คาดหวังว่า จะสามารถช่วยเหลือคนตกงานได้กว่า 1 แสนรายให้มีงานทำในยุคโควิด-19
“โครงการนี้จะเริ่มในเดือนต.ค.นี้ เพื่อช่วยเหลือคนที่ตกงานจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องถูกออกจากงาน เพราะโรงงานหรือบริษัทปิดกิจการ ร้านอาหารขายไม่ได้ ทำให้คนจำนวนมากต้องกลับบ้านเกิดไปให้อาศัยกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง เนื่องจากไม่มีรายได้”
ทั้งนี้ โครงการนี้จำเป็นต้องให้ กระทรวงการคลัง มาช่วยอุดหนุนกรณีที่ปล่อยสินเชื่อออกไปแล้วกลายเป็นหนี้เสีย เนื่องจาก เป็นให้สินเชื่อกับคนที่ตกงาน ไม่มีรายได้ ซึ่งตามปกติสถาบันการเงินจะไม่ปล่อยเงินกู้ให้ เพราะมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่จะนำมาชำระหนี้ในอนาคต
สำหรับวงเงินการให้สินเชื่อต่อรายนั้น จะขึ้นอยู่กับการลงทุนของแต่ละรายอาจเป็น 3 หมื่นบาทต่อราย หรือ 5 หมื่นบาทต่อราย หรืออาจถึง 1 แสนบาทต่อราย ซึ่งน่าจะช่วยคนได้กว่าหนึ่งแสนคน
ทั้งนี้ ผู้ที่จะได้รับสินเชื่อจะต้องผ่านการอบรมตามโครงการของธนาคารก่อน ซึ่งจะมีการอบรมอาชีพต่างๆให้ผู้ขอกู้ตามที่ต้องการ เช่น บางรายอาจต้องการเป็นช่างตัดผม,ช่างไฟฟ้า,หรือช่างประปา หรือบางรายอาจต้องการซื้อเฟรนไชส์มาประกอบธุรกิจขนาดเล็กชุมชนของตนเองหรือต้องการเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงร้านโชว์ห่วย ที่ขายในชุมชน หรือต้องการเปิดร้านกาแฟในชุมชน เป็นต้น
เขากล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการธนาคารเพื่อสังคมของธนาคารออมสิน ที่นอกจากการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้คนฐานรากมีเงินดำรงชีพอยู่ในช่วงโควิด-19 แต่สินเชื่อเพื่อคนตกงานครั้งนี้ ต้องการสร้างอาชีพให้คน เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และในที่สุดผู้กู้เหล่านั้นจะมีความสามารถในการชำระหนี้ให้กับธนาคารในอนาคต
“การเป็นธนาคารเพื่อสังคมถือเป็นจุดแข็งของออมสิน ที่ไม่มีธนาคารใดในประเทศสามารถทำได้ดีเท่าออมสิน ซึ่งเมื่อนำ digital ใส่เข้าไปในระบบโดยเฉพาะระบบการให้กู้ ยิ่งจะทำให้ธนาคารออมสิน ดำรงอยู่ในการแข่งขันในธุรกิจสถาบันการเงินได้เข้มแข็งมากขึ้น”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ข้อมูลคนว่างงาน ณ ไตรมาสที่สองของปีนี้ มีคนว่างงาน 2% ของกำลังแรงงานทั้งประเทศที่มีอยู่ 38.75 ล้านคน หรือมีคนว่างงาน 7.6 แสนคน ซึ่งกลุ่มคนที่ตกงานหากแยกตามระดับการศึกษาแล้ว พบว่า คนที่ตกงานเป็นสัดส่วนมากที่สุดคือ คนที่จบปริญญาตรี รองลงมาคือ คนที่จบอาชีวะ และระดับมัธยมต้น