กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวม ว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ แล้วช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณ จ.เชียงราย 59 มิลลิเมตร // นครราชสีมา 88 มิลลิเมตร // กรุงเทพมหานคร 99 มิลลิเมตร // ประจวบคีรีขันธ์ 77 มิลลิเมตร // ชลบุรี 61 มิลลิเมตร และยะลา 81 มิลลิเมตร โดยแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยกเว้นภาคเหนือมีแนวโน้มลดลง ภาพรวมปริมาณน้ำทั้งประเทศ 53,890 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 66 และแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 47,461 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 66 ส่วนจุดเฝ้าระวังน้ำน้อยยังคงอยู่ในพื้นที่ 5 แห่ง เฝ้าระวังน้ำมาก 15 แห่ง บริเวณเขื่อนนฤบดินทรจินดา เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนแม่มอก เขื่อนลำตะคอง อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนลำนางรอง เขื่อนทับเสลา เขื่อนขุนด่านปราการชล อ่างเก็บน้ำบึงบอระเพ็ด เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนมูลบน พร้อมคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก-ดินถล่มช่วง 1 - 2 วันนี้ต้องเฝ้าระวังบริเวณ จ.เชียงใหม่ ตาก และเพชรบูรณ์ ส่วนสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำมีแนวโน้มสูงขึ้นและเสี่ยงน้ำล้นตลิ่งบริเวณแม่น้ำปาสัก สระบุรี ลพบุรี , แม่น้ำเจ้าพระยา จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร , แม่น้ำมูล อ.สติ๊ก จ.บุรีรัมย์ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ อ.เมือง อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี อ.เมือง และ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ยังได้ ติดตามสภาพอากาศจากอิทธิพลร่องมรสุมที่จะพาดผ่านภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่งจนถึงวันที่ 3 ตุลาคม จึงคาดการณ์มีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาไหลลงเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง โดยประเมินปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 3,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เบื้องต้นได้ให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยาและตัดยอดน้ำเข้าระบบคลองชลประทานทั้งสองฝั่งและพื้นที่ลุ่มต่ำ จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประกอบกับ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ระบายน้ำในอัตรา 900 - 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา (C.29A) ในอัตราประมาณ 3,000–3,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 1.20 - 2.40 เมตร
สำหรับปริมาณน้ำท้ายเขื่อนพระรามหกเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 2.30 - 2.80 เมตร ช่วงวันที่ 1 - 5 ตุลาคม คาดจะส่งผลกระทบในพื้นที่ จ.ชัยนาท บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ต.โพนางดำออก และ ต.โพนางดำตก อ.สรรพยา // จ.สิงห์บุรี บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา วัดเสือข้าม วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี อ.เมืองสิงห์บุรี และ อ.พรหมบุรี // จ.อ่างทอง บริเวณคลองโผงเผงและแม่น้ำเจ้าพระยา วัดไชโย อ.ไชโย และ อ.ป่าโมก // จ.ลพบุรี บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก อ.พัฒนานิคม // จ.พระนครศรีอยุธยา บริเวณคลองบางบาลและริมแม่น้ำน้อย ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ และริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก อ.ท่าเรือ อ.นครหลวง และ อ.พระนครศรีอยุธยา จนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา // จ.สระบุรี บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก อ.วังม่วง อ.แก่งคอย อ.เมือง อ.เสาไห้ และ อ.บ้านหมอ // จ.ปทุมธานี และ จ.นนทบุรี บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกแนวคันกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และกรุงเทพมหานคร บริเวณแนวคันกั้นน้ำบริเวณพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา