นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) ว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกที่สูงขึ้นมากทั้งน้ำมันและแอลพีจี(ก๊าซหุงต้ม) บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าที่ประชุมจึงมีมติดูแลราคาน้ำมันที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งน้ำมันพื้นฐานบี10 และน้ำมันบี7 ที่มีรถยนต์ที่ใช้อยู่ประมาณ 10 ล้านคัน โดยจะดำเนินการ 3 ส่วนคือ 1.ลดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลบี10และบี7 จากเฉลี่ย 1.80 บาทต่อลิตร เหลือ1.40 บาท มีผลวันที่ 5 ตุลาคม – 31 ตุลาคม 2564 ซึ่งปัจจุบันถูกกว่า 1.80 บาทต่อลิตรอยู่แล้ว 2.ลดการจัดเก็บเงิน บี7 เข้ากองทุนจาก 1.00 บาทต่อลิตร เหลือ 0.01 บาทต่อลิตร มีผลวันที่ 11 ตุลาคม -31 ตุลาคม 2564 และ 3.ลดการผสมไบโอดีเซล จากบี10 และบี7 เหลือบี6 มีผลวันที่ 11 ตุลาคม – 31 ตุลาคม 2564 ทั้งนี้จากมติดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม จะเหลือน้ำมันดีเซลชนิดเดียว คือ บี6 คืออยู่ที่ระดับ 28.29 บาทต่อยาวถึง 31 ตุลาคมนี้ ใช้เงินอุดหนุนส่วนนี้เดือนละประมาณ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้หากราคาตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นจะมีเงินกองทุนน้ำมันบัญชีน้ำมันดูแล 1.1 หมื่นล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือแอลพีจี ล่าสุดได้แยกบัญชีระหว่างแอลพีจีและน้ำมันออกจากกันเด็ดขาด เนื่องจากติดลบกว่า 1.7 หมื่นล้านบาทจากการอุดหนุนราคา จนใกล้เพดานที่กำหนดคือ 1.8 หมื่นล้านบาท และหลังจากนี้จะเสนอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ อนุมัติวงเงินจากพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทมาช่วยเหลือเป็นเวลา 4เดือน(ตุลาคม2564-มกราคม2565) เพื่อคงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัมอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง (ไม่รวมค่าขนส่ง) โดยจะช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มครัวเรือนเท่านั้นไม่รวมภาคขนส่ง