น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก่อหนี้ผูกพันโครงการ "The Michelin Guide Thailand" ประจำปี 65-69 ด้วยวงเงิน 4.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 135.30 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านอาหาร โดยแบ่งจ่ายเป็นรายปีปีละ 820,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 27.06 ล้านบาท ให้แก่บริษัท Michelin Travel Partner France ซึ่งเป็นผู้ผลิตคู่มือแนะนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในนาม Michelin Guide โดยงบประมาณที่ใช้ในปี 65 จะจัดสรรงบประมาณของททท. ส่วนในปีที่ 2-5 ททท.จะตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
สำหรับพื้นที่ดำเนินการตามโครงการฯประกอบด้วยจังหวัดกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ภูเก็ต พังงา พระนครศรีอยุธยา และจะมีการสำรวจเพิ่มอีกอย่างน้อย 3 จังหวัด โดยเป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างน้อย 1 จังหวัด สำหรับกระบวนการดำเนินโครงการนั้น จะเริ่มจากการคัดเลือก และรวบรวมรายชื่อร้านอาหารที่อยู่ในระดับมาตรฐานของมิชลิน โดยมีขั้นตอนตั้งแต่การลงพื้นที่สำรวจร้านอาหาร การตรวจสอบคุณภาพและรสชาติอาหารโดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกที่ผ่านการอบรมตามเกณฑ์ของมิชลิน โดยมิชลินเป็นผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกทีมงาน และจะแต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบเพื่อดำเนินการคัดเลือกร้านอาหารและจัดอันดับร้านอาหารอย่างยุติธรรมตามระเบียบวิธีการของมิชลิน จากนั้นจะมีการพิมพ์หนังสือ The Michelin Guide Thailand ทุกปี เพื่อแนะนำร้านอาหารที่ผ่านกระบวนการประเมินผล
ทั้งนี้ จะมีการแถลงข่าวสร้างการรับรู้การจัดทำโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปี 65-69 รวมถึงจัดงานมอบรางวัลให้แก่ร้านอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากมิชลิน พร้อมดำเนินการตรวจสอบคุณภาพร้านอาหารในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ยังมอบสิทธิรางวัล Michelin Thailand Service Award By TAT ให้แก่ททท. ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ ที่เพิ่มขึ้นจากสิทธิประโยชน์เดิม โดยเป็นรางวัลสำหรับบุคลากรผู้ให้บริการยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกันทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) ได้รายงานว่า โครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปี 60-63 ที่ผ่านมา ได้ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมผ่านวัฒนธรรมอาหารที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าและศักยภาพของอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงร้านอาหารริมทาง (Street Food) ช่วยให้ร้านอาหารของไทยมีการพัฒนาและยกระดับคุณภาพเพื่อรักษามาตรฐาน ส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชฟไทยสู่เวทีระดับสากล ดึงดูดเชฟชั้นนำต่างประเทศให้มาทำงานในประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเปิดร้านอาหารระดับสูง (High-End) มากขึ้น