ส.อ.ท.จับมือตลาดหลักทรัพย์-เคพีเอ็มจี เปิดทางเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพไทย ระดมทุนผ่าน “LiVE Exchange” สร้างโอกาสในการเติบโต ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย จัดทำหลักสูตรเพื่อบ่มเพาะผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก โดยเฉพาะ SME (เอสเอ็มอี) และสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและต้องการระดมทุนในตลาดทุนผ่าน “LiVE Exchange” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งเงินทุนทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 100 บริษัทสนใจเข้าร่วมโปรแกรม
การส่งเสริมสมาชิกให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นภารกิจที่สำคัญที่สภาอุตสาหกรรมฯ ดำเนินการมาโดยตลอดซึ่ง การระดมทุนในตลาดทุนเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สมาชิกให้ความสนใจ ซึ่งที่ผ่านมา การระดมทุนในตลาดทุนผ่าน SET และ mai ค่อนข้างยากสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ แต่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างพัฒนากฎเกณฑ์และระบบงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็ฒอีและ สตาร์ทอัพs สามารถเข้าถึงการระดมทุนได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ กว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาในเครือข่ายของสภาอุตสาหกรรมฯ การพัฒนา LiVE Exchange จะช่วยเปิดโอกาสให้สมาชิกที่มีศักยภาพและพร้อมขยายธุรกิจให้เติบโต มีแหล่งเงินทุนมารองรับ
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านกลไกตลาดทุนของผู้ประกอบการทุกขนาด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ จึงได้ร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. พัฒนากฎเกณฑ์รองรับการระดมทุนในวงกว้าง (IPO) และเตรียมจัดตั้งตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ หรือ LiVE Exchange เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการและเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับผู้ลงทุน
ทั้งนี้ การพัฒนา LiVE Exchange ใช้แนวคิด Light-touch supervision โดยปรับกฎเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม เพื่อให้ เอสเอ็มอี และ สตาร์ทอัพ เข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการ LiVE Exchange ได้ภายในสิ้นปี 2564
นอกจากนี้ ยังเปิดบริการ LiVE Platform โดยร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนกว่า 25 ราย พัฒนาองค์ความรู้ และบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ การเรียนรู้ผ่าน e-Learning บริการ Business Coaching เป็นต้น ความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย ครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ที่เป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ได้เป็นอย่างดี
นายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าวว่า ยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและกลุ่มสตาร์ทอัพ ให้มีศักยภาพและความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุน เพราะกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยจัดทำโปรแกรมบ่มเพาะที่ได้รวบรวมความรู้ที่จำเป็น และจัดทำเป็นหลักสูตรเฉพาะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน