ประธานญาติวีรชนพฤษา’35 อัดยับ 7 ปี "ประยุทธ์" สร้างความหายนะกับประเทศ พร้อมหนุนคนรุ่นใหม่ทวงคืนอนาคต เตือนใช้อำนาจแก้ปัญหาไม่ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 และแกนนำไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองว่า ที่ผ่านมา ตนได้พยายามเสนอทางออกให้บ้านเมืองเพื่อให้หลุดพ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยประวัติศาสตร์จนเกิดความสูญเสียของทุกฝ่าย แต่บัดนี้ตนรู้สึกสิ้นหวัง เพราะผู้รับผิดชอบและผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ได้ใส่ใจนำพาแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือ มีหลักคิดแบ่งแยกประชาชน มองอำนาจคือธรรม ไม่ใช่ธรรมคืออำนาจ ใช้อาญาสิทธิ์กดทับปัญหา โดยลืมไปว่า ประชาชนที่ถูกกดขี่หรือถูกปกครองด้วยความไม่เป็นธรรมนั้น ตายสิบเกิดแสน การแก้ปัญหาแก้แบบซื้อเวลาไปวันๆ คิดว่า การใช้อำนาจจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ อีกไม่นานก็จบ
โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมแบบที่เป็นอยู่นี้ ไม่สามารถสืบทอดต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น การปฏิรูปอาจไม่ใช่คำตอบที่เพียงพอของสังคมแล้ว หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีปัญญาคิดแค่นี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ขอบอกว่า กำลังคิดผิด ส่วนฝ่ายการเมืองต่างๆ ก็ไม่ได้ตระหนักว่า ระบบการเมืองที่เป็นอยู่ไม่สามารถตอบโจทย์และคลี่คลายความขัดแย้งลงได้ หนำซ้ำยังกำลังเตรียมการเลือกตั้งกันแล้ว โดยบางพรรคก็รณรงค์สร้างคะแนนนิยมในลักษณะตอกลิ่มความขัดแย้งของประชาชน ทุกวันนี้ประชาชนแตกแยกและยังเผชิญหน้ากันแทบทุกพื้นที่
ประธานญาติวีรชนพฤษภา’35 กล่าวว่า ตนมีความผูกพันกับแกนนำผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เพราะส่วนใหญ่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลญาติวีรชนพฤษภา’35 มาโดยตลอด เมื่อการเมืองทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดเป็น 2 ขั้ว ตนก็รับเป็นกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ ให้โอกาสรัฐบาลคลี่คลายความขัดแย้ง และได้เสนอแนวทางสร้างความปรองดองให้รัฐบาลแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ตรงกันข้ามกลับผลักดันให้แกนนำทุกกลุ่มเข้า “สู่สายพานมรณะ” ทั้ง 2 ฝ่ายติดคุกติดตาราง ชีวิตลำบากเดือดร้อนกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เป็นเรื่องที่ตนเศร้าใจมาก
ส่วนการปฏิรูปประเทศก็ไม่ทำ มีแต่สร้างวาทกรรมไปวันๆ ยิ่งทำให้ประเทศชาติถอยหลัง สิ่งที่ทุกฝ่ายคาดหวังก็ได้คำตอบชัดว่า โดน”หักหลัง” ตนจึงตั้งกลุ่มไทยไม่ทนฯ ออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงจากตำแหน่งนายกฯ เพราะเป็นบุคคลที่ตระบัดสัตย์ ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ยิ่งอยู่ยิ่งจะสร้างปัญหาให้ประเทศชาติมากขึ้น
“7 ปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจ นอกจากไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นอีก เป็น 7 ปี บนความหายนะของประเทศชาติ คนรุ่นเก่าอาจจะมองไม่เห็นทางออกแล้ว แต่คนรุ่นใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลทำให้อนาคตเขามืดมด เหมือนอนาคตถูกขโมยไป เขาจึงต้องลุกขึ้นมาทวงคืนอนาคตของตัวเอง แม้บางครั้งอาจจะล้ำเส้นกฎหมายไปบ้าง แต่เมื่อความอยุติธรรมเป็นกฎหมาย การต่อต้านจึงเป็นหน้าที่ การใช้อำนาจทุกอย่างจัดการกับผู้เห็นต่างทางความคิดโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ยิ่งจะสร้างความคับแค้นเหมือนไฟสุมอยู่ในอก พร้อมปะทุขึ้นมาอีกได้ตลอดเวลา อย่าลืมว่า เวลาเป็นของพวกเขา พวกเราเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที หากเกิดวิกฤติถึงขั้นนองเลือดอีกครั้ง แล้วจะมีหลักประกันอะไรว่า จะเอาอยู่” นายอดุลย์กล่าว
นายอดุลย์ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทยที่ทำให้นักศึกษาและประชาชนเข้าป่าจับปืนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ก็เพราะรัฐไทยประเมินสถานการณ์ผิดคิดว่า การปราบปรามจะเอาอยู่ แต่ยังโชคดีที่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ ในขณะนั้น ออกคำสั่ง 66/23 กำหนดให้มีการแก้ปัญหาความอยุติธรรมทางสังคม ให้คนเห็นต่างทางความคิดออกมาร่วมพัฒนาชาติไทย ยุติความขัดแย้งทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความสงบได้ แล้วยุคปัจจุบันรัฐบาลและผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้มีแนวทางที่จะขจัดความขัดแย้งทางความคิดอย่างไร มีแต่ซ้ำเติมเพิ่มปัญหารอวันปะทุ ซึ่งตนพยายามเตือนมาตลอด หากถึงวันนั้นอาจจะสายเกินไป ซึ่งตนจะไม่เรียกร้องกับรัฐบาลนี้อีกแล้ว แต่จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ทวงคืนอนาคตของเขาต่อไป