ปัจจัยการเมืองจะมีผลต่อทิศทางตลาดการเงิน
นาย ศรัณย์ ภู่พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจตลาดทุน ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2560 นอกจากปัจจัยพี้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว การเคลื่อนไหวของปัจจัยทางการเมืองจะมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดเงิน และตลาดทุน ตัวอย่างจากปี2559 ไม่ว่าจะเป็นผลการลงประชามติเพื่อขอออกจากสมาชิกภาพประชาคมยุโรปของสหราชอาณาจักร (BREXIT) และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา (Mr.Donald Trump) ที่ต่างก็สร้างความประหลาดใจและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและทิศทางตลาดการเงิน ในปีนี้การเคลื่อนไหวของปัจจัยทางการเมืองจะยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ในยุโรปจะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศไม่ว่าจะในเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ซึ่งในภาวะกระแสชาตินิยมที่ก่อตัวขึ้นในกลุ่มประเทศยุโรป ผลการเลือกตั้งของประเทศต่างๆ ในกลุ่ม EU จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกลุ่ม และจะมีนัยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในยุโรปและเศรษฐกิจโลก
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องจับตามองความสามารถในการดำเนินนโยบายของ Trump ตามที่ได้หาเสียงไว้ว่าจะปฎิบัติได้จริงและมากน้อยแค่ไหน ปัจจุบันตลาดการเงินได้พุ่งความสนใจไปยังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดภาษี การลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐาน การลดกฎระเบียบต่างๆ และมาตรการที่กระตุ้นให้บริษัทสหรัฐอเมริกานำเงินกำไรที่อยู่นอกประเทศกลับเข้ามาในประเทศ ซึ่งการคาดหวังในมาตรการเหล่านี้ทำให้ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหุ้น และผลตอบแทนตราสารหนี้ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันผู้เกี่ยวข้องในตลาดการเงินยังไม่แน่ใจต่อมาตรการกีดกันการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานว่าจะออกมารุนแรงอย่างที่ Trump หาเสียงไว้หรือไม่ ความไม่แน่นอนเหล่านี้จะก่อให้เกิดความผันผวน และทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และราคาสินทรัพย์ทั่วโลก ตลอดปี 2560
สิ้นสุดอัตราดอกเบี้ยต่ำ
Donald Trump จะใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น ลดภาษี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งแตกต่างจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาที่พึ่งนโยบายการเงินเป็นหลัก ผ่านอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำใกล้ 0 % และการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ (QE Program) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา อัตราการว่างงานที่ต่ำ และTrumpolicy ส่งผลให้ตลาดการเงินมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และนโยบายการเงินมีความสำคัญน้อยลง โดยในการประชุม FOMC (Federal Open Market Committee) ของสหรัฐอเมริกา ในเดือนธันวาคม 2559 คณะกรรมการฯ ได้ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามที่ตลาดการเงินคาดไว้ พร้อมส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในปี 2560 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐอเมริการุ่นอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 1.36% เมื่อกลางปี 2559 มาอยู่ในระดับ 2.46% ในปัจจุบัน ทีเอ็มบีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในปี 2560 ขณะที่นโยบายการเงินของกลุ่มประชาคมยุโรปและญี่ปุ่นยังคงผ่อนคลาย (Policy Divergence) ความแตกต่างดังกล่าวจะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน