"กรอ." เร่งขับเคลื่อนมาตรการปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น รองรับพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออล เพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน และสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย ซึ่งผ่านความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมจัดสรรสิทธิปริมาณการนำเข้าสารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) ปี พ.ศ.2565 ทางภาคอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องสิ่งแวดล้อมและชั้นบรรยากาศโอโซน โดยมีการส่งเสริมการใช้สารเคมีทางอุตสาหกรรมที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือสาร HCFCs เป็นสารที่ถูกควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งประเทศไทย ได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 และมีพันธกรณีในการลดและเลิกใช้สารดังกล่าว โดยกำหนดเป้าหมายให้เริ่มควบคุมปริมาณการใช้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 และให้ลดปริมาณการใช้ลงตามลำดับ โดยจะต้องควบคุมปริมาณการใช้สาร HCFCs ให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2583
ทั้งนี้การจัดสรรสิทธิปริมาณการนำเข้าสาร HCFCs สำหรับ ปี พ.ศ.2565 อยู่ที่ไม่เกิน 390 โอดีพีตัน จะทำให้ปริมาณการนำเข้าและการใช้สาร HCFCs ของประเทศไทยลดลงจากปี พ.ศ.2556 ประมาณ 8,450 เมตริกตัน หรือ 588 โอดีพีตัน ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในส่วนนี้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม จะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและชั้นบรรยากาศโอโซน ผ่านโครงการลดและเลิกใช้สาร HCFCs
โดยขณะนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ 2 ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล เพื่อดำเนินการลดและเลิกใช้สาร HCFCs ในปี พ.ศ.2563-2566 ซึ่งเป็นมาตรการมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและเทคนิควิชาการแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟมแบบฉีดพ่น (สเปรย์โฟม) รวมถึงภาคอุตสาหกรรมผลิตตู้เย็น และตู้แช่เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้โครงการจะมีการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ และจัดฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศภายใต้สังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้นอกเหนือจากการลดการใช้สาร HCFCs ตามพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออล เพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนแล้ว มาตรการทดแทนและปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น เป็นมาตรการที่สำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ.2564-2573 สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีความตกลงปารีส โดยมาตรการดังกล่าว มีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือ BCG Model ของรัฐบาล
ขณะเดียวกันยังเป็นมาตรการหนึ่งที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม จะมีการหยิบยกและนำเสนอในการเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) ภายใต้การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ในวันที่ 1 - 2 พฤศจิกายน 2564