ติดตามความคืบหน้า ตรวจสอบ "เงินประกันรายได้ข้าว" เช็คด่วน! นัดวันโอนจ่ายเงินส่วนต่างราคา อัพเดทจาก กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกำลังเป็นกระแสความสนใจของเกษตรกรชาวนา หลังราคาข้าวตกต่ำ
ล่าสุดวันนี้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 ลงวันที่ 4 พ.ย. 2564 และเพื่อให้การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1
"เงินประกันรายได้ข้าว" เช็คด่วน! นัดวันโอนจ่ายเงินส่วนต่างราคา อัพเดทที่นี่
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีมติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 23/2564 เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2564 เห็นชอบการกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 หรือ งวดที่ 1 เพื่อใช้ในการชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ที่ ระบุวันที่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 15 ต.ค. 2564 สำหรับข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ ณ ความชื้นไม่เกิน 15 % ดังนี้ คือ
1.ข้าวเปลือกหอมมะลิ 10,864.23 บาท/ตัน ชดเชยตันละ 4,135.77 บาท
2.ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 10,407.75 บาท/ตัน ชดเชยตันละ 3,595.25 บาท
3. ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 9,947.87 บาท/ตัน ชดเชยตันละ 1,052.13 บาท
4. ข้าวเปลือกเจ้า 8,065.38 บาท/ตัน ชดเชยตันละ 1,934.62 บาท
5. ข้าวเปลือกเหนียว 7,662.53 บาท/ตัน ชดเชยตันละ 4,337.47 บาท
การโอนเงินส่วนต่างงวดแรกตามโครงการประกันรายได้ปี 2564/65 กลไกต่อไป จะเป็นงานในหน้าที่ ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินส่วนต่าง ซึ่งตามกฏหมายต้องจ่ายภายในสามวันหลังอนุกรรมการประกาศราคาอ้างอิง ซึ่งก็ประกาศวันที่ 4 พ.ย. เพราะมีข้อทางเทคนิคที่ต้องรายงาน ครม. ได้รับทราบผลการหารือเกี่ยวกับอัตราต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 64 ซึ่งกรมการค้าภายในได้จัดให้ทำการหารือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2564 และจะได้นำเสนอในการประชุม ครม. เพื่อรับทราบแล้ว
เมื่อประกาศลงวันที่ 4 พ.ย. ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ดำเนินการระบบการโอนเงินด้วย ดังนั้นจึงตรวจสอบเบื้องต้นจาก ธ.ก.ส. ธนาคารแจ้งว่าจะสามารถโอนได้วันที่ 9 พ.ย. 2564 นี้ ซึ่งก็ไม่เกินจากวันที่ประกาศกำหนดไว้
ล่าสุดวันนี้ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จาก สถานการณ์ราคาข้าวที่ลดต่ำลงในช่วงนี้เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการทั้งด้านความต้องการส่งออกข้าวไปต่างประเทศและการบริโภคในประเทศที่ลดลง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาพายุดีเปรสชั่นเข้าสู่ประเทศไทยส่งผลให้มีฝนตกชุก และหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมส่งผลต่อคุณภาพข้าว
โดยราคาข้าวจะขึ้นอยู่กับความชื้นและคุณภาพ ปัจจุบันเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวและจำหน่ายให้กับโรงสีทันที ซึ่งมีความชื้นสูงประมาณ 30% เรียกข้าวสดไม่สามารถนำไปสีได้ทันที ต้องลดให้เหลือที่ความชื้นมาตรฐานไม่เกิน 15%
กรณีที่เกษตรกรจำหน่ายข้าวเปลือกหอมมะลิที่ความชื้น 30% ที่ กก.ละ 8.10 บาท หรือตันละ 8,100 บาท เมื่อคำนวณเป็นข้าวแห้ง มีราคาตันละ 10,500 บาท
กรณีจำหน่ายข้าวเปลือกเหนียวที่ความชื้น 30% ในราคา กก. ละ 5.6 บาท หรือตันละ 5,600 บาท เมื่อคำนวณเป็นข้าวแห้ง มีราคาตันละ 7,300 บาท
อย่างไรก็ตามราคาที่เกษตรกรได้รับขึ้นอยู่กับคุณภาพและสิ่งเจือปนด้วย ทั้งนี้ในการซื้อขายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับราคาข้าวตามโครงการของรัฐบาลที่ผ่านๆ มาจะใช้ราคา ณ ความชื้น 15% เป็นเกณฑ์มาตรฐาน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาข้าวจะลดต่ำลงแต่เกษตรกรยังได้รับการดูแลภายใต้โครงการประกันรายได้ ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงิน 18,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว โดยราคาเป้าหมายประกันรายได้ ปี 2564/65 กำหนดราคาข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้
1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน
2) ข้าวเปลือกหอมมะลิ นอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
3) ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน
4) ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน
5) ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
สำหรับมาตรการคู่ขนานก็ยังคงหลักการเช่นเดียวกับปีก่อนโดยให้เกษตรกรรวบรวมจัดเก็บไว้ในยุ้งฉาง โดยได้รับค่าฝากเก็บตันละ 1,500 บาท และเพิ่มสภาพคล่องในการรับซื้อข้าวเปลือกแก่สหกรณ์และโรงสีโดยชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ระยะเวลา 2-6 เดือน สำหรับโรงสี และ 1 ปี สำหรับสหกรณ์
ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวที่กำลังออกสู่ตลาดและชะลอตัวในขณะนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ซึ่งกรมการค้าภายในได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการนอกพื้นที่เข้าไปช่วยรับซื้อข้าวเหนียวในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 13 จุด ใน 7 จังหวัด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 และอนุมัติโครงการตลาดนัดข้าวเปลือกให้มีผู้รับซื้อเข้าไปแข่งขันรับซื้อในพื้นที่ที่มีผู้รับซื้อไม่เพียงพอต่อผลผลิต เพื่อให้เกิดการแข่งขันและราคา จำนวน 30 จุด ใน 19 จังหวัด
จากสถานการณ์การส่งออกข้าวในขณะนี้มีทิศทางที่ดีจากคำสั่งซื้อต่างประเทศที่มีมากขึ้น ในช่วง 6 เดือนหลัง ค่าเงินปัจจุบันที่อ่อนตัวลง ราคาข้าวในประเทศที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งคาดว่าปริมาณการส่งออกทั้งปีจะใกล้เคียงกับเป้าหมาย 6 ล้านตันที่ตั้งไว้ ประกอบกับได้สถานการณ์การข้าวในประเทศในขณะนี้มีสัญญานดีขึ้นเช่นกันจากการผ่อนคลายเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภค มีมากขึ้น สถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มคลี่คลายลง รวมทั้งมาตรการคู่ขนานและมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์เข้าไปแก้ไขปัญหาจึงคาดว่าจะส่งผลให้สถานการณ์ราคาข้าวเปลือกในตลาดดีขึ้นเป็นลำดับ