สนพ.เกาะติดราคาน้ำมันโลก ชี้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังผลิตแค่ 4 แสนบาร์เรล ส่งผลราคาน้ำมันดิบทรงตัว ลุ้นสหรัฐระบายสำรองน้ำมันลดแรงกดดันน้ำมันแพง
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วัน ในเดือนธันวาคม แม้ว่าสหรัฐฯ จะกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน อีกทั้งตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า บริษัทซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ประกาศขึ้นราคาน้ำมันดิบประเภท Arab Light Crude สำหรับลูกค้าในเอเชีย สู่ระดับ 2.70 เหรียญสหรัฐในเดือนธันวาคม โดยปรับเพิ่มขึ้น 1.40 เหรียญสหรัฐจากระดับของเดือนพฤศจิกายน
นอกจากนี้ สัญญาณน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้อนุมัติร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ
สำหรับภาพรวมสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก (วันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2564) ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 81.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 1.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งจากรายงานข่าวกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบีย จะแตะระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนธันวาคมนี้
ขณะที่กลุ่มโอเปกพลัสมีมติเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือนธันวาคม 2564 ที่ระดับ 400,000 บาร์เรล/วันคงเดิมจากข้อตกลงในเดือนกรกฎาคม 2564 อีกทั้งอิหร่านพร้อมตกลงเข้าร่วมการเจรจาเพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ กับ 6 ชาติมหาอำนาจ ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ โดยอิหร่านได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรที่จำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งหากสามารถบรรลุข้อตกลงได้จะทำให้มีอุปทานน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นจากการส่งออกของอิหร่าน และสำนักวิเคราะห์ Energy Aspects ได้ประเมินว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มระบายน้ำมันจากคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ซึ่งประธานาธิบดีมีอำนาจอนุมัติปริมาณ 30 ล้านบาร์เรล เพื่อบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันแพง
ด้านราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดภูมิภาคเอเชีย น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และ 91 (Non-Oxy) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 101.84เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 98.39 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 99.30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 3.00 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 2.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 3.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปทานในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน
อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากตลาดน้ำมันเบนซินสหรัฐฯ ที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลงต่อเนื่อง ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสิงคโปร์ ปรับลดแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดย Platts คาดการณ์ปริมาณส่งออกน้ำมันเบนซินของจีนในเดือนพฤศจิกายน 2564 สูงขึ้น 11% มาอยู่ที่ 6.55 ล้านบาร์เรล โดยปริมาณส่วนใหญ่ (2.55 ล้านบาร์เรล) มาจากบริษัท Zhejiang Petroleum and Chemical Co., Ltd. (ZPC) โรงกลั่นของบริษัท Indian Oil Corp. (IOC) ของอินเดีย (กำลังการกลั่นรวม 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน) กลั่นน้ำมันในเดือนตุลาคม 2564 เพิ่มขึ้น 7% มาอยู่ที่ระดับ 90%
ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (10 PPM) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 94.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณสำรอง Distillates เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 29 ต.ค. 64 เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 127.1 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ Sinopec และ PetroChina บริษัทน้ำมันแห่งชาติของจีนมีแผนที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมันดีเซลในเดือน พ.ย. 64 เพื่อช่วยบรรเทาความตึงตัวของอุปทาน
สำหรับค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.14 บาท/เหรียญสหรัฐ อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 33.5131 บาท/เหรียญสหรัฐ ต้นทุนน้ำมันเบนซินลดลง 0.54 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลลดลง 0.24 บาท/ลิตร (ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.47 บาท/ลิตร)
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 กองทุนน้ำมันฯ มีสินทรัพย์รวม 44,328 ล้านบาท หนี้สินกองทุนฯ 38,420 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 5,908 ล้านบาท (บัญชีน้ำมัน 25,254 ล้านบาท และบัญชี LPG -19,346 ล้านบาท)