ที่ตลาดกลางข้าวและพืชไร่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตำบลคลองขาม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้จัดงานตลาดนัดข้าวเปลือก จังหวัดกาฬสินธุ์ ปีการผลิต 2564/65 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 18 - 20 พฤศจิกายน 2564 เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกลดต่ำลง ให้ขายได้ราคาดี โดยได้เชิญผู้ประกอบการโรงสีให้เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เพื่อให้เกิดกลไกการแข่งขันรับซื้อผลผลิตข้าวเปลือกของเกษตรกร ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองด้านราคามากขึ้น โดยมีเกษตรกรได้นำรถบรรทุกทยอยนำข้าวเปลือกมาขายอย่างต่อเนื่อง
นายศิริพงษ์ วิวัฒน์เกษมชัย พาณิชย์จังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า การจัดตลาดนัดข้าวเปลือกยังสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม และการชั่งน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน การหักลดน้ำหนักตามความชื้นและสิ่งเจือปนของข้าวเปลือก ทำให้เกษตรกรเรียนรู้ถึงการซื้อขายข้าวคุณภาพ อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาการเพาะปลูกข้าวให้มีคุณภาพตามความต้องการของตลาด โดยในวันแรกของการเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกมีเกษตรกรนำข้าวมาจำหน่าย 214 ราย ปริมาณ ข้าว 446 ตัน มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท หากเกษตรกรมีความจำเป็นต้องขายข้าว ขอเชิญชวนเกษตรนำข้าวออกมาจำหน่ายที่ตลาดนัดข้าวเปลือกจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งเพราะอยู่ใกล้แหล่งผลิตของพี่น้องเกษตรกร
ด้านนายธนพล ธรรมมโนขจิต ผู้จัดการตลาดกลางข้าวและพืชไร่ เปิดเผยอีกว่า การเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกเป็นการพบกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งปีนี้บรรยากาศไม่คึกคักเท่าที่ควร เนื่องจากเกษตรกรบางรายยังรอดูราคาข้าวเปลือกที่ยังมีราคาไม่สูงมากนัก จึงเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางก่อนเพื่อให้ได้ราคาเป็นที่น่าพอใจค่อยนำออกมาขาย ซึ่งส่งผลทำให้ราคาข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้นเพราะเกษตรกรชลอการขายข้าวเปลือกออกไปก่อน ขณะเดี่ยวกันโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลก็ทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการนำผลผลิตข้าวออกมาจำหน่ายซึ่งจะได้ราคาตามที่เกษตรกรต้องการ
ทั้งนี้ การจัดตลาดนัดข้าวเปลือกในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นแหล่งรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกรได้เรียนรู้ระบบการซื้อขายแบบตลาดกลางอันเป็นฐานในการพัฒนาระบบตลาด และกลไกตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เกษตรกรเกิดการผลิตข้าวที่มีคุณภาพดีตามที่ตลาดต้องการ เกษตรกรขายข้าวได้ราคาที่สูงขึ้น สอดคล้องกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวตามนโยบายของรัฐบาลอย่างยั่งยืนต่อไป