“พีทีจี” ตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันครบ 1,800 สาขาทั่วประเทศ มุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก พร้อมเปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “พีที โมบาย แอพลิเคชั่น” สนองตอบทุกไลฟ์สไตล์และเข้าถึงใจลูกค้าทั่วประเทศมากขึ้น พร้อมทุ่มเงินลงทุนมูลค่าถึง 5,000 ล้านบาท ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจบริการด้านพลังงานแบบครบวงจร ล่าสุดร่วมมือกับ บริษัท ซัปโปโร โฮลดิ้ง จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know-How) มุ่งเป็นโรงงานแรกของโลกกับเทคโนโลยีการผลิตโดยเอากากมันสำปะหลังเหลือใช้มาก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจในปี 2560 ตั้งเป้าสร้างปริมาณการขายเพิ่มขึ้นราว 40% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 2.9 พันล้านลิตร ซึ่งในปีนี้ เรามีแผนดำเนินธุรกิจที่สร้างความแข็งแกร่งในอนาคต กับธีมที่มีชื่อว่า “Age of Innovation” หรือการปรับใช้นวัตกรรมเพื่อนำแบรนด์มุ่งสู่การผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรกคือ การใช้เทคโนโลยี SYN4MAX ในการช่วยผลิตน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง พีที แมกซ์นิตรอน ส่วนที่สองคือ การเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “พีที โมบาย แอพพลิเคชั่น” เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และท้ายสุดคือการใช้องค์ความรู้จากพาร์ทเนอร์อย่าง “ซัปโปโร” จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำเอานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมาผลิตพลังงานทดแทนอย่างเอทานอล โดยปีนี้วางงบลงทุนมูลค่าสูงถึง 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,500 ล้านบาท ธุรกิจ Non-oil 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,000 ล้านบาท ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ปัจจุบันเรามีจำนวนกว่า 1,400 สาขา ภายในสิ้นปีนี้เราตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งยังมุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีจำนวน 5.6 ล้านสมาชิก
“ในปี 2560 หากพีทีจีสามารถขยายสถานีบริการตามที่วางเป้าหมายไว้ เราจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของจำนวนสถานีบริการเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด และถ้าปริมาณการขายเป็นไปตามเป้าหมาย คือเติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2559 เราน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 4 ในตลาด นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายว่าจะเข้ามาดูแลผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น” นายพิทักษ์ กล่าว
สำหรับปีนี้ เราจะมุ่งเน้นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงก็คือ กลุ่มธุรกิจ นอน-ออยล์ (Non-Oil) (รายได้ที่ไม่ได้มาจากการขายน้ำมัน) เราตั้งเป้าไว้ว่าจากปัจจุบันที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 155% กาแฟพันธุ์ไทยจะมีสาขาครบ 100 สาขา ในกลางปีนี้ และจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 200 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2560 ซึ่งจะไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่เพียงในสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น แต่เราจะขยายไปตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย และสนามบินต่างๆ เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มจำนวนร้านแม็กซ์ มาร์ท (Max Mart) เป็น 140 สาขาอีกด้วย
“และเพื่อให้เข้ากับธีม Age of Innovation ปีนี้พีทีจียังจะเปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “พีที โมบาย แอพลิเคชั่น” ที่มาพร้อมกับความทันสมัยและสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าแม็กซ์การ์ด (Max card) อีกทั้งยังจะมีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและเกิดความนิยมแบรนด์ในวงกว้าง จากที่ปัจจุบัน เรามีเฟซบุ๊คที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีแอพพลิเคชั่น LINE ที่ปัจจุบันมีสมาชิกถึง 10 ล้านราย รวมถึงมี Line Sticker ซึ่งมียอดดาวน์โหลดถึง 6 ล้านครั้ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ ที่เราเลือกใช้ล้วนเข้าถึงฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ได้ทันต่อเหตุการณ์อย่างแท้จริง” นายพิทักษ์กล่าว