นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมการเงินโคราชครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่มีการจัดกิจกรรมที่นำสถาบันทางการเงิน ธนาคาร แหล่งเงินทุนมายังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจ เราก็ต้องต่อสู้กับโควิดและเศรษฐกิจ ซึ่งสภาพคล่องที่จะไปถึงมือผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย เอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด และผลกระทบจากนักท่องเที่ยว มีความสำคัญมาก ถ้าผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ก็ต้องเลิกจ้าง ก็จะนำไปสู่ปัญหาการว่างงาน แปดแสนกว่าคน ฉะนั้น การที่เรามีแหล่งเงินทุนไปช่วยผู้ประกอบการให้อยู่ได้ เพื่อรอวันที่เศรษฐกิจฟื้นตัว จึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโคราชให้ก้าวผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้
นายสุวัจน์ กล่าวอีกว่า นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่ดำเนินการในปัจจุบัน อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน, ไทยเที่ยวไทย, คนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นมาตรการที่สำคัญและต้องทำต่อเนื่องไป จนกว่าร่างกายเราจะเข้มแข็ง จนกว่าเศรษฐกิจเราจะกลับมา ซึ่งคาดการณ์ ว่าปีหน้า 2565 ถ้าไม่พลิกล็อคไวรัส ไม่กลายพันธุ์ เศรษฐกิจโลกจะกลับมาโตประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ไทยน่าจะโต 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องน้ำมันที่กลับมาสูงขึ้น และที่น่ากลัวเรื่องภาวะเงินเฟ้อของโลก เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่าน ทุกประเทศกู้เงินกันหมดเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเพื่อสู้กับโควิด เมื่อใช้จ่ายกันเยอะก็เกิดภาวะเงินเฟื้อ ดัชนีที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อปีนี้สูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทุกประเทศก็มองว่าถ้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นต้องระวังเรื่องเงินเฟ้อและราคาน้ำมัน เศรษฐกิจไทยก็ผูกกับกับเศรษฐกิจโลกด้วย
สำหรับตนมองว่าถ้าเศรษฐกิจโลกคลี่คลาย เศรษฐกิจไทยก็จะโตต่อไป แต่ต้องลุ้นกันอย่าให้มีความเสี่ยง เราต้องคอยจับตาและมอนิเตอร์บริหารความเสี่ยง การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องกันต่อไป เมื่อสถานการณ์โควิดปีหน้าคลี่คลาย ก็จะเข้าสู่สถานการณ์ Post Covid ว่าหลังสถานการณ์โควิดเราจะทำกันอย่างไร
“วันนี้ เราต้องสร้างแพลตฟอร์ม ( Platform)ใหม่ ในเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว พฤติกรรมผู้บริโภค เศรษฐกิจโลก มหาอำนาจ การเมืองโลก เทคโนโลยีต่างๆ Block Chain, Digital Economy ต่างๆ มาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ ฉะนั้น เราต้องมาจัดทำแพลตฟอร์มใหม่ ว่าประเทศไทยจะเติบโตกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องดูแลกลุ่ม SME ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการต่อยอดระหว่างเศรษฐกิจใหญ่และเศรษฐกิจรากหญ้า เอาวัตถุดิบมาเปลี่ยนมาเป็นสินค้าเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม ฉะนั้น SME ซึ่งมี 3 ล้านราย แรงงานกว่า 12 ล้านคน ทำอย่างไรให้เข้มแข็ง ต้องมีการปรับปรุงการใช้ Digital Transformation และการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เค้าปรับปรุงและเข้มแข็ง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญ” นายสุวัจน์ กล่าว
โดยเฉพาะ Post Covid ที่เมืองไทยจะได้เปรียบ เพราะเศรษฐกิจโลกตอนนี้มุ่งเน้นไปที่วิถีใหม่ทาง เศรษฐกิจโลกที่สอดคล้องกับ BCG (Bio Circular Green Economy) ในเรื่องของไบโอ, เซลล์ลูล่า, Green Economy ให้ความสำคัญในเรื่องของธุรกิจของความเขียว ความปลอดภัย ความหมุนเวียนต่างๆ ซึ่งเป็นทิศทางเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศไทยมีจุดแข็งและยังไม่ได้หยิบมาใช้ เช่น เรื่องอาหาร เรื่องเกษตร เรื่องท่องเที่ยว
“เรายิ่งใหญ่เรื่องด้านเกษตร เรามีรากฐานของสังคมไทยที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะนำมาต่อยอด บวกดิจิตอล และเทคโนโลยีเข้าไป ผู้ประกอบการสร้างต่อยอดและสร้างมูลค่า เป็นความหวังในการที่เราจะเอาจุดแข็ง จุดยืน เพื่อนำมาสร้างแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย เอาอาหาร เกษตร ท่องเที่ยว เอาเรื่อง Soft Power ต่างๆ และวัฒนธรรมของชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ มาเป็น New Economyให้ประเทศไทยได้”นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า
“วันนี้เราได้สร้าง Future Wealth ของ Money Expro มองให้เห็นทิศทางของเศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้า และวันนี้ได้มีการหยิบยื่น สภาพคล่อง ที่เป็นลมหายใจ ที่สำคัญของภาคธุรกิจ เพื่อให้อยู่ได้ ซึ่งโคราชเป็นจังหวัดใหญ่และมีศักยภาพ”นายสุวัจน์ กล่าว