นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การดีเดย์เปิดเวทีปรองดองโดยคิกออฟวันแห่งความรัก 14 ก.พ. ถือเป็นสัญลักษณ์ของการขับเคลื่อนเพื่อสร้างความสงบสันติอย่างยั่งยืนและหวังว่าตัวแทนพรรคการเมือง จะร่วมมือกันแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง จะมีความเห็นต่างหรือเห็นตรงกัน ไม่ใช่ปัญหา เพราะคณะกรรมการฯ ยึดหลักเปิดกว้างเน้นการมีส่วนร่วมและให้เกียรติทุกกลุ่มทุกฝ่าย โดยอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นที่มีปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน จะรับฟังทุกข้อเสนอและไม่มีการถกแถลงหรือโต้แย้งเช่นเดียวกับเวทีสาธารณะในระดับภูมิภาค ก็จะยึดนโยบายนี้เช่นกัน โดยต้องดำเนินการขั้นตอนการรับฟังความเห็นให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทย โดยหวังว่าย่างก้าวแรกของการปรองดองจะสร้างความสุขให้กับคนไทยทุกคนทันปีใหม่ไทยปีนี้
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การเปิดเวทีปรองดองของรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและจะสามารถก้าวข้ามปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่เสมือนแผลเก่าแผลใหญ่ในอดีตได้หรือไม่ รวมถึงไม่ให้ปัญหาดังกล่าวหวนกลับมาซ้ำรอยอีก ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความพยายามครั้งนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พร้อมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศจะให้การสนับสนุน เพราะการสร้างความสามัคคีปรองดองเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทุกคน
ขณะเดียวกัน นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องสัญญาประชาคม เพื่อความสามัคคีปรองดองนั้น ยังไม่ใช่ขั้นตอนนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับใจใครได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศว่ายินดีจะเดินหน้าประเทศสู่อนาคตด้วยความสงบสันติอย่างยั่งยืนหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกเท่านั้นและต้องฟังความเห็นจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายทั่วประเทศให้แล้วเสร็จเสียก่อน
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การเปิดเวทีปรองดองของรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและจะสามารถก้าวข้ามปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่เสมือนแผลเก่าแผลใหญ่ในอดีตได้หรือไม่ รวมถึงไม่ให้ปัญหาดังกล่าวหวนกลับมาซ้ำรอยอีก ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความพยายามครั้งนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พร้อมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศจะให้การสนับสนุน เพราะการสร้างความสามัคคีปรองดองเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทุกคน
ขณะเดียวกัน นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องสัญญาประชาคม เพื่อความสามัคคีปรองดองนั้น ยังไม่ใช่ขั้นตอนนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับใจใครได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศว่ายินดีจะเดินหน้าประเทศสู่อนาคตด้วยความสงบสันติอย่างยั่งยืนหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกเท่านั้นและต้องฟังความเห็นจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายทั่วประเทศให้แล้วเสร็จเสียก่อน