ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คุณภาพชีวิต ย้อนกลับ
สวรส.หนุนวิจัย“ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19”พิสูจน์ประสิทธิภาพสร้างความมั่นใจการใช้สู่ความปลอดภัยผู้ป่วย
16 ธ.ค. 2564

“ฟ้าทะลายโจร” เป็นสมุนไพรไทยที่มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ได้ออกประกาศ ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564คัดเลือกยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรและยาจากผงฟ้าทะลายโจร เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ในข้อบ่งใช้ในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการน้อย เพื่อลดการเกิดโรคที่รุนแรง1ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ได้รับการบรรจุในแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งระบุว่า ยาฟ้าทะลายโจรอาจมีฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนา 2019 หรือ SARS-CoV-2 โดยสามารถต้านการอักเสบ และลดอาการไข้ หวัด เจ็บคอ ทั้งนี้ให้พิจารณาใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง และไม่มีข้อห้ามต่อการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า อาจช่วยลดโอกาสของการเกิดปอดอักเสบได้ โดยขณะนี้กำลังมีการศึกษาเพิ่มเติม และไม่แนะนำให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 รวมถึงยังไม่มีข้อมูลผลการศึกษาการใช้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น2 ทั้งนี้มีการปรับปรุงแนวทางเวชปฏิบัติฯ ดังกล่าวเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 โดยปรับคำแนะนำในการพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มที่ไม่มีอาการ ให้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ รวมถึงไม่ให้ยาฟ้าทะลายโจรและยาต้านไวรัสร่วมกัน เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากยา3

ฟ้าทะลายโจรจึงนับเป็นสมุนไพรไทยที่เป็นความหวังและเพิ่มโอกาสในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19ที่มีอาการไม่รุนแรง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการวิจัยจึงมีความสำคัญในการช่วยหาคำตอบถึงประสิทธิผลจากการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19ดังนั้นสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)จึงได้สนับสนุนชุดโครงการวิจัย“ประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของการใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19”เพื่อประเมินประสิทธิภาพของสารสกัดฟ้าทะลายโจร สำหรับป้องกันการเกิดปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย รวมทั้งประเมินความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ พร้อมมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย (Data and Safety Monitoring Board: DSMB) เพื่อกำกับดูแลโครงการวิจัยให้มีมาตรฐานการดำเนินงานที่ถูกต้องและปลอดภัยนอกจากนี้ยังเป็นงานวิจัยที่มีการทำงานร่วมกับทีมวิจัยในพื้นที่จังหวัดสระบุรีและปราจีนบุรีอย่างใกล้ชิดโดยเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา สวรส.โดยแผนงานวิจัยและพัฒนาระบบยา ได้ลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี ติดตามกระบวนการวิจัย และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกระบวนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนเพื่อร่วมกันพัฒนามาตรฐานการวิจัยเชิงคลินิกในครั้งนี้ให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานมากที่สุด

ดร.ภญ.นพคุณ  ธรรมธัชอารี ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนถึงผลการศึกษาของยาฟ้าทะลายโจรต่อการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 และแพทย์ผู้รักษายังขาดความเชื่อมั่นในการเลือกใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคโควิด-19ซึ่งถ้ามีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นจำนวนมาก อาจมีโอกาสทำให้เกิดสถานการณ์ยาไม่เพียงพอ ดังนั้นยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นยาสมุนไพรที่สามารถผลิตได้ในประเทศไทย จึงเป็นทางเลือกที่เป็นความหวังในการใช้รักษาผู้ป่วยซึ่งชุดโครงการวิจัยฯ ดังกล่าว มีรูปแบบการศึกษาวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและแบ่งผู้ป่วยเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial: RCT) โดยใช้กระบวนการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาตรฐานในทุกพื้นที่ซึ่งจะทำให้มีหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือว่าการใช้ยาฟ้าทะลายโจรมีผลในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19จริงหรือไม่ตลอดจนระเบียบวิธีวิจัยที่ได้มาตรฐานนี้จะทำให้เกิดการยอมรับการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 มากขึ้น ซึ่งมาตรฐานจากการดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางการดำเนินงานวิจัยเชิงคลินิกในประเด็นอื่นๆ และเชื่อว่าผลจากการศึกษาวิจัยจะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำไปประกอบการพิจารณาเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป  

ทั้งนี้พื้นที่ในการศึกษาวิจัยได้แก่ โรงพยาบาลสนามเสาไห้ อ.เสาไห้ จ.สระบุรีศูนย์ส่งเสริมสุขภาพมิชชั่นอ.มวกเหล็ก
จ.สระบุรีโรงพยาบาลสนามไฮโฮเต็ล อ.หนองแค จ.สระบุรี โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จ.นครนายก และโรงพยาบาลสนามเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรีโดยมีเป้าหมายในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยประมาณ700 คน ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคนด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกแล้ว รวมถึงการเก็บข้อมูลทั้งหมดต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยทุกรายซึ่งผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาแนวทางการใช้ยารักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตลอดจนเป็นข้อมูลประกอบการสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรไทย และลดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ โดยคาดว่าจะสรุปผลวิจัยได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2565

ข้อมูลอ้างอิง :

  • 1ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 138 ตอนพิเศษ 120 ง (ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2564) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/120/T_0046.PDF
  • 2 แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับปรับปรุง วันที่ 25 มิถุนายน 2564 https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health/Attach/25640625085440AM_CPG_COVID_v.15_n%2020210625.pdf
  • 3แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับปรับปรุง วันที่ 4 สิงหาคม 2564 https://covid19.dms.go.th/backend/Content/Content_File/Covid_Health/Attach/25640804171629PM_CPG_COVID_v.17_n_20210804.pdf
  • ชุดโครงการวิจัยเรื่อง ประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของการใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19

 

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...