นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนนายจ้าง/สถานประกอบการ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาโดยตลอด ทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่พบการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน กระทรวงแรงงานจำเป็นต้องบริหารจัดการการทำงานของแรงงานข้ามชาติอย่างรอบคอบมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ
นายไพโรจน์ฯ กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่ปี 2563 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำเนินการปรับเปลี่ยนระเบียบ นโยบาย รวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ โดยเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์ โควิด - 19 ระลอกใหม่ โดยให้นายจ้างที่จ้างแรงงานข้ามชาติ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยื่นบัญชีรายชื่อแจ้งความต้องการจ้างคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ และยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงาน (บต.48) ซึ่งทำให้แรงงาน 3 สัญชาติ จำนวน 496,055 คน ได้รับโอกาสเป็นแรงงานที่สามารถอยู่ในประเทศไทยและทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย หากเจ็บป่วยหรือได้รับเชื้อโควิดสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาตามสิทธิได้ ต่อมาเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 โดยมีเป้าหมายบริหารจัดการให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยตามมติครม.คราวต่างๆ (มติ 20 ส.ค. 62 , มติ 4 ส.ค. 63 , มติ 10 พ.ย. 63 , กลุ่ม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน และกลุ่มใบอนุญาตทำงานสิ้นสุดโดยผลของกฎหมาย) จำนวน 1,695,416 คน สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทำงานได้ต่อไปถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 หรือ 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตเดิมสิ้นสุด รวมทั้งขยายระยะเวลาการหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน เพื่อแก้ปัญหาให้นายจ้างที่ขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากสถานการณ์ด้านวัคซีนภายในประเทศขณะนั้นยังไม่เอื้ออำนวยที่จะนำแรงงานข้ามชาติเข้ามา อย่างไรก็ดีผลการดำเนินการจนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2564 มีนายจ้าง/สถานประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนจนแรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตทำงานแล้ว เพียง 272,322 คน จนถึงมติครม.เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 เป็นอีกครั้งที่กระทรวงแรงงานเก็บตกแรงงาน 3 สัญชาติ ที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยดำเนินการตรวจสถานที่ก่อสร้าง สถานประกอบการ โรงงาน และสถานที่ทำงาน เพื่อให้คำแนะนำการปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าว เป็นระยะเวลา 30 วัน หากพบแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จะบันทึกข้อมูลนายจ้างและแรงงานต่างด้าว พร้อมกำหนดวันนัดหมายให้นายจ้างมาดำเนินการยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนแรงงงานต่างด้าว ณ สำนักงาน เพื่อเข้าสู่ระบบการจ้างงานตามกฎหมาย และได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี หากอยู่ในกิจการที่มีประกันสังคมมีสิทธิเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา33 และได้รับการคุ้มครอง และสิทธิการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนไทยที่อยู่ในระบบประกันสังคม หรือหากไม่อยู่ในกิจการที่มีประกันสังคมก็ได้รับสิทธิประกันสุขภาพตามสิทธิประกันที่มีการกำหนดให้ทำเมื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยมีนายจ้าง/สถานประกอบการดำเนินการยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวทั้งสิ้น 353,776 คน และล่าสุดจากกำหนดการเปิดประเทศของรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 64 กระทรวงแรงงานได้เตรียมการล่วงหน้า เพื่อนำเข้าแรงงาน 3 สัญชาติ ตาม MoU เพื่อให้นายจ้างมีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการสอดรับกับการเปิดประเทศ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 เป็นต้นมากระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการยื่นคำร้องขอนำเข้าแรงงาน 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการนำเข้าตาม MoU สามารถดำเนินการได้ตลอดทั้งปี ตามความจำเป็นในการประกอบกิจการ มีค่าใช้จ่ายรวมในการนำเข้าฯ อยู่ระหว่าง 11,490 – 24,250 บาทต่อแรงงานข้ามชาติ 1 คน ขึ้นอยู่กับการเลือกสถานที่กักตัว ระยะเวลาที่ต้องอยู่ในสถานที่กักตัว รวมถึงการเลือกประกันสุขภาพ ซึ่งราคาจะขึ้นยู่กับระยะเวลา “กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน มีการวางแผนบริหารจัดการแรงงาน 3 สัญชาติ ในทุกระยะ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่สิ่งสำคัญที่จะแก้ปัญหาได้คือ นายจ้าง/สถานประกอบการจำเป็นต้องร่วมมือใช้แรงงานที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย ไม่รับแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศมาทำงาน เพราะแรงงานกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองโควิดตามมาตรการสาธารณสุข ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งต่อกิจการท่าน ชุมชนใกล้เคียง จนถึงประเทศชาติ ดังนั้นหากท่านต้องการแรงงาน 3 สัญชาติ นายจ้างที่มีความพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่กักตัว สามารถยื่นคำร้องขอนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ (Demand) กับกรมการจัดหางานหรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ โดยข้อมูล ณ วันที่ 20 ธ.ค. 64 มีนายจ้างยื่นคำร้องแล้ว 255 คำร้อง ต้องการแรงงาน 3 สัญชาติ 32,295 คน” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว