เพื่อความปลอดภัยการรถไฟปิดตายทางข้าม ให้ไปใช้ช่องทางที่เปิดให้ ทำให้ชาวบ้านซอยนันทกาญจน์ กว่า 100 หลังคาเรือน เดือดร้อนมาร่วม 4 ปี มาร้องสื่อช่วยเป็นกระบอกเสียง ถึงผู้ว่าการรถไฟฯ พิจารณาเปิดทางเข้า-ออก ป่วยจะไปโรงพยาบาลก็แสนลำบาก เผยร้องเรียนไปแล้วหลายหน่วยงาน แต่ยังเงียบ สบายอู่นำซากรถไปจอดทิ้งจำนวนมาก
วันนี้ 8 ม.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณยายสุนันทา วงศาภาคย์ อายุ 78 อยู่บ้านเลขที่ 25/12 หมู่ 3 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้เดินทางมาร้องเรียนขอให้สื่อมวลชนให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่การรถไฟปิดเส้นทางเข้า-ออก บริเวณซอยนันทกาญจน์ หลังจากได้รับการร้องเรียนจึงลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปถึงมีนางธัญยธรณ์ วิทยประพัฒน์ อายุ 57 อยู่บ้านเลขที่ 164/42 นายพันธ์ศักดิ์ นราโต อายุ 55 อยู่บ้านเลขที่ 111/18 พร้อมชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 10 คน มารออยู่แล้ว
จากการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวพบว่าการรถไฟได้นำเหล็กมาปิดกั้นทางข้ามรางรถไฟที่เคยใช้เป็นเส้นทางเข้าออกของชาวบ้านมานานกว่า 30 ปีอย่างถาวร โดยรถยนต์รวมทั้งรถจักรยานยนต์ที่ใช้เส้นทางดังกล่าวจะต้องเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาเพื่อไปทางซอนร่มแฝกหรือท้ายซอยไปรษณีย์ ซึ่งทั้งสองเส้นทางนั้นมีช่อการจราจร ที่ทางการรถไฟเปิดช่องไว้ให้ใช้ได้เพื่อความปลอดภัย แต่ชาวบ้านแจ้งว่าไม่สะดวกทางค่อนข้างคับแคบ ทุกคนจะต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง สำหรับจุดที่ถูกถูกปิดกั้นทางเข้าออกนั้นอยู่ห่างจากถนนพัฒนาการที่เป็นถนนสายหลักเพียงแค่ประมาณ 20-30 เมตรเท่านั้น ซึ่งถนนที่ใช้ข้ามทางรถไฟบริเวณที่ถูกปิดมีความกว้างถึง 6 เมตร และหลังจากการรถไฟปิดกั้นก็ได้มีบุคคลเห็นแก่ตัวนำซากรถที่ประสบอุบัติเหตุไปจอดเต็มช่องทางดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งนี้ นางธัญยธรณ์ วิทยประพัฒน์ อาชีพรับราชการ และเป็นผู้แทนประชาชนชาวซอยนันทกาญจน์ กล่าวว่า ทางข้ามรถไฟบริเวณนี้ชาวบ้านได้ใช้สัญจรไปมานานกว่า 40 ปี โดยไม่เคยเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถประชาชนมาก่อน ต่อมาปี พ.ศ.2561 แขวงบำรุงทางกาญจนบุรี การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเหล็กมาปิดกั้นทางเข้าออกอย่างถาวร ทำให้ชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อนมานานกว่า 3 ปี
ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ลงชื่อร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาให้เปิดเส้นทางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด สำหรับหนังสือที่ร้องเรียนไปนั้นมีทั้งส่งถึงเทศบาลเมืองปากแพรก ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งการรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งทางเทศบาลเมืองปากแพรกนั้นพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเต็มที่ โดยได้ตั้งงบประมาณเพื่อขยายเส้นทางรวมทั้งออกค่าใช้จ่ายให้กับการรถไฟนำไปทำสัญญาณสำหรับข้ามทางรถไฟ แต่การรถไฟก็ไม่อนุญาต โดยอ้างเหตุผลถึงความปลอดภัย และยังแจ้งว่าชาวบ้านลักใช้เส้นทางดังกล่าวทั้งที่ความเป็นจริงนั้นมีผู้บริจาคที่ดินที่อยู่ติดกับทางรถไฟให้ทำเป็นทางสาธารณเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันมานานกว่า 30 ปีแล้ว
และที่สำคัญคือหากชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย และจำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาลหากการรถไฟเปิดทางบริเวณนี้ชาวบ้านไม่จำเป็นจะต้องใช้เส้นทางเบี่ยงเนื่องจากสามารถวิ่งออกทางตรงได้เลย แต่หากยังปิดเส้นทางข้ามรางรถไฟชาวบ้านจะต้องใช้ทางเบี่ยงที่ค่อนข้างคับแคบ เมื่อมารถวิ่งสวนทางมาจะต้องถอยเพื่อหลีกทาง จนทำให้บางครั้งเกิดอุบัติขึ้น
ดังนั้นพวกเราชาวบ้านซอยนันทกาญจน์ และที่อยู่โดยรอบ อยากจะฝากไปถึงผู้มีอำนาจคือท่านผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ช่วยพิจารณาสั่งการให้เปิดเส้นทางสัญจรไปมาบริเวณดังกล่าวเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนด้วย
ซึ่งท่านไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะชาวบ้านทั้งหมดรู้ดีว่ารถไฟจะวิ่งผ่านในเวลาใดบ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าชาวบ้านแถวนี้จะประสบกับอุบัติเหตุถูกรถไฟชน จึงขอวิงวอนให้พิจารณาช่วยเหลือชาวบ้านโดยด่วน เพราะพวกเราเดือดร้อนมาเกือบ 4 ปีแล้ว
ทีมข่าวกาญจนบุรี