เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 65 นายปกรณ์ มุ่งเจริญพร ประธานกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงประเด็นการถอดกัญชาออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามเจตนารมณ์ ของกฎหมาย พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ซึ่งมีการถกเถียงเห็นแย้ง ทั้งผู้ใช้กฎหมายและผู้ออกกฎหมาย ว่า
“ในฐานะประธานกรรมาธิการสาธารณสุข เห็นข้อกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงล่าสุดว่าเรายังตามไม่ทันเรื่องกฎหมายและถือปฏิบัติตามไม่ทัน นี่คือข้อเสีย ของผู้ที่ปฏิบัติยึดกฎหมายตามปฏิบัติและตัวเองตามไม่ทันกฎหมาย เราในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ผมว่าเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสังคมมากๆ หลายท่านเข้าใจผิด หลายท่านก็เข้าใจถูก นี่ไงครับกระแสของสังคมก็ยังถกเถียงชั่งใจอยู่ว่าจะเดินหน้าต่อไปยังไง วันนี้เศรษฐกิจไทย เราต้องเปลี่ยนแนวคิด การคมนาคมพัฒนาไปมาก สินค้าเกษตรจากเมืองจีนผ่านรถไฟความเร็วสูงมาทางลาว ผลกระทบแน่นอน ชาวสวนชาวไร่ที่ปลูกพืชปลูกผักผลไม้เราส่งออกไม่ได้ราคากระทบแน่นอนสินค้าปศุสัตว์เจอไวรัสเหมือนคนเจอนี่ล่ะครับวัวควายเจอ lumpy Skin หมูเจอไวรัสเหมือนกันผลกระทบหมด ผมมองว่าวันนี้โอกาสที่คนไทยจะฟื้นเศรษฐกิจได้ง่ายโดยการแก้กฎหมายหรือทำความเข้าใจให้ตรงกันก็คือสมุนไพรไทยคือกัญชาคือสมุนไพร ยาหม่องกัญชา คือยาเสพติด ผมอยากให้เทียบเคียงบุหรี่ เบียร์ ไวน์ เหล้า เหล้าขาว เหล้าสี เทียบกับกัญชา ผมเองนั่งพิจารณานึกดูย้อนดูหลายครั้งหลายหน ผมมองว่ากัญชาก็คือสมุนไพร ผมจึงได้หารือกับทางเพื่อนๆ ในคณะกรรมาธิการ วันพฤหัสที่ 20 ม.ค.65 เชิญชวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการป.ป.ส. ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท่านผบ.ตร. และอีกหลายๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้กฎหมายบังคับใช้กฎหมายมาหารือกัน”นายปกรณ์ กล่าว
ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนคิดว่าคงจะเป็นทางออกที่ดี สร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้พี่น้องหลายท่านโทรศัพท์มาหาผมให้กำลังใจกับผม อยากเห็นพืชตัวนี้ ซึ่งเคยซุกอยู่ใต้ดิน ใต้พรมวันนี้มาอยู่บนดิน ถ้าเราในภูมิภาคเอเชีย ถ้าเราสามารถแก้กฎหมายให้พืชกัญชาเป็นพืชสมุนไพรได้อย่างถูกต้อง ผมว่าประเทศไทยจะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจที่รับผลกระทบจากโควิชได้เร็วที่สุดในโลกด้วยครับนี่คือสิ่งที่ผมยืนยันเลยครับ”
นายปกรณ์ กล่าวว่า ที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งต้องขอชื่นชม นายศุภชัย ใจสมุทร รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่ออกมายืนเคียงข้างประชาชนทำให้ตนต้องนัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องกัญชามาตีความ ส่วนตัวเห็นด้วยกับนายศุภชัย แต่จริงๆ ฝ่ายการเมือง พูดอะไรไปมันก็ 2 มุม มีคนเห็นด้วยก็ว่าดี แต่คนไม่เห็นด้วยก็หาว่านักการเมืองพูดหาเสียง
“จริงๆ ต้องชื่นชมท่านศุภชัยเป็นอย่างมาก ที่กล้าหาญออกมาพูดแล้วเอาเรื่องจริงออกมาพูด ผมยกย่องและชื่นชมท่านศุภชัย มาก ถือว่าเป็นฮีโร่เป็นวีรบุรุษ ของคนที่อยากให้สมุนไพรตัวนี้ถูกต้องตามกฎหมาย ผมคิดว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. เป็นฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย แต่คนออกกฎหมายในฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้รู้กฎหมายก็ไปแย้งกัน วันนี้มันแย้งกันระหว่างผู้ปฏิบัติกับผู้ออกกฎหมาย ท่านอยากจะยึดอำนาจเหมือนเก่า รักษาอำนาจไว้เหมือนเก่า ไว้ทำไม ในเมื่อประเทศไทย แก้ไปแล้ว มันแก้แล้วกฎหมายเหล่านี้มันไม่มีแล้ว มันมีแต่ฝิ่น ไม่มีแล้วกัญชา”นายปกรณ์ กล่าว
นายปกรณ์ กล่าวด้วยว่า การหาประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข ในวันที่ 20 ม.ค. จะเป็นเวทีที่จะให้เวลากับทุกคนได้แสดงความคิดเห็นสรุปว่ามันจะเป็นอย่างไร มีหลายท่านที่จะขอผมเข้าร่วมประชุมด้วย เช่นศิลปิน ซึ่งผมได้พูดถึงก็คือน้าแอ๊ด คาราบาว ตอนนี้กำลังประสานกันอยู่ แต่น้าไข่ มาลีฮวนน่า ยืนยันตอบรับที่จะมาเข้าร่วมประชุมอย่างแน่นอน ซึ่งเสียงสะท้อน ประชุมวันนั้น จะเป็นสิ่งที่ กรรมาธิการสาธารณสุข จะสรุปผลการ ประชุม ส่งต่อไปยังท่านนายกรัฐมนตรีส่งต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรมนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าความหวังของพี่น้องประชาชนชาวไทยในบทบาทของคณะกรรมาธิการสาธารณสุขเราจะทำให้เรื่องนี้ ให้เป็นจริง