นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมการส่งออกในปี 2565 น่าจะยังขยายตัวเป็นบวกได้ ในระดับ 3-4% มูลค่าประมาณ 8.98 - 9.07 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และยังสอดคล้องกับการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 3.5% การประเมินของ กรอ.พาณิชย์ที่ 3-5% และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ที่ 5-8%แม้อัตราการขยายตัวจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกในปี 2565 มาจากเศรษฐกิจคู่ค้ามีทิศทางขยายตัว แม้จะได้รับผลกระทบจากโอมิครอน แต่คาดว่าจะจำกัดอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก และจะฟื้นตัวในระยะต่อไป ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการส่งออก ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ช่วยให้การเจรจาออนไลน์มีการเติบโตต่อเนื่อง การมีผลบังคับใช้ของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ช่วยสนับสนุนการส่งออก และกรมฯ ยังมีแผนเร่งทำ Mini FTA กับเมืองใหม่ที่มีศักยภาพ และจะมีการลงนามในเร็ว ๆ นี้ คือ รัฐเตรังคานา ของอินเดีย และมณฑลกานซู่ ของจีน รวมถึงเมืองรองใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
นายภูสิตก ล่าวว่า กรมฯ มีแผนขับเคลื่อนการส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยได้เตรียมกิจกรรม ทั้งตลาดหลัก ตลาดรอง และตลาดใหม่ มีทั้งกิจกรรมออนไลน์ ออฟไลน์ เช่น การจัด Online Business Matching ทุกภูมิภาค ทุกสินค้า การจัดงานแสดงสินค้าในประเทศในรูปแบบ Virtual/Online Exhibition ได้แก่ งาน THAIFEX ANUGA Asia , งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair (BGJF) และ งาน TILOG เป็นต้น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ amazon.com (สหรัฐฯ) และ ozon.ru (รัสเซีย)
นอกจากนี้ ยังมีแผนผลักดันสินค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และสปา (Hospitality) การส่งเสริม สินค้าและบริการไทยเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (Horeca) การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าไทย การส่งเสริมสินค้าอาหาร นวัตกรรมอาหาร ข้าวไทย และธุรกิจบริการและดิจิทัล เป็นต้น
ขณะเดียวกัน มีแผนและโครงการที่จะเน้นการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตร อาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจบริการอาหาร เป็นการเฉพาะอีก 56 โครงการ แยกเป็นสินค้าเกษตรและอาหาร 13 โครงการ เช่น การจัดงานแสดงสินค้า และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และจัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกับห้างสรรพสินค้าและคู่ค้า 21 โครงการ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องดื่มของไทย 2 โครงการ การส่งเสริมการส่งออกและสร้างภาพลักษณ์สินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์ 8 โครงการ การประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องดื่มของไทย 3 โครงการ และการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศธุรกิจบริการอาหาร 9 โครงการ
นายภูสิต กล่าวว่า กรมฯ ยังจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green หรือ BCG Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล โดยจะมุ่งขับเคลื่อนสินค้าศักยภาพ 5 กลุ่ม คือ อาหารแห่งอนาคต อาหารสัตว์เลี้ยง บรรจุภัณฑ์ ไลฟ์สไตล์ และเครื่องสำอางสมุนไพร โดยมีเป้าหมายช่วยผู้ประกอบการทำตลาด 2,056 ราย สร้างมูลค่าการค้า 517.60 ล้านบาท
ส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ให้เข้าสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศ กรมฯ มีเป้าหมายที่จะอบรม สัมมนา และพัฒนาผู้ส่งออกรายใหม่จำนวน 13,170 ราย เช่น การพัฒนาผู้ประกอบการเข้าสู่การค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ การผลักดัน SMEs ผู้ผลิตสินค้าชุมชน เป็นผู้ส่งออกรุ่นใหม่ การจัดทำโครงการ Salesman จังหวัด Go Inter รุ่นที่ 2 และการผลักดันนิสิต นักศึกษา ในโครงการ From Gen Z to be CEO ที่จะมีการดำเนินการต่ออย่างเข้มข้น
ด้านการประเมินผลกระทบจากโอมิครอนนั้น กรมฯ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งมาตรการป้องกันการระบาดที่คู่ค้านำมาใช้ และผลกระทบต่อการส่งออกของไทย หากมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น ก็ให้รายงานเข้ามาทันที เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ทันการ และยังได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้นำเข้าสินค้าไทยว่าสินค้าไทยมีคุณภาพ มาตรฐาน มีระบบป้องกันโควิด-19 ด้วย