จากกรณีบริษัทเอกชนได้รับงานประมูลในการสร้างรั้วกึ่งถาวรเพื่อป้องกันช้างป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จ.กาญจนบุรี ออกนอกพื้นที่มากินและทำลายพืชผลทางเกษตรของประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ โดยรั้วดังกล่าวก่อสร้างเป็นระยะทาง 13 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ19,410,000 บาท แต่ถูกช้างป่าดันล้มเสียหายจำนวนหลายต้น ลวดสลิงขาดหลายจุด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุดวันนี้ 7 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สุนันทา จำปาเงิน ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดกาญจนบุรีนายธนเกียรติ วัฒนศิลป์ นักสืบสวนการทุจริต ชำนาญการ ป.ป.ช.ภาค 7 พร้อมคณะ เดินทางไปที่สำนักงานที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ หมู่ 4 ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อติดตามข้อมูลรายละเอียดของโครงการดังกล่าว โดยมีนายสิขกพงษ์ กระแจะจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง) นายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระและ น.ส.วาริกา รวดเร็ว นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้าโป่ง)คณะกรรมการผู้ควบคุมงาน โครงการข้างต้นให้การต้อนรับ พร้อมตอบข้อซักถามและนำเอกสารมาแสดง โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
จากนั้นเวลา 15.00 น.คณะทั้งหมดได้เดินทางไปตรวจสอบโครงการก่อสร้างรั้วกึ่งถาวร ตั้งแต่พื้นที่หมู่ 5 ต.ช่องสะเดา ต่อเนื่องไปถึงท้องที่หมู่ 2 ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อไปถึงพบคนงานกำลังดำเนินการติดตั้งตะแกรงกันช้างป่าพร้อมนำรถไถมาปรับพื้นที่แนวรั้ว โดย น.ส.สุนันทา จำปาเงิน ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดกาญจนบุรี ได้เข้าไปสำรวจถึงโครงสร้างอย่างละเอียดด้วยตนเอง เมื่อพบเห็นถึงกับไม่สบายใจกับผลการดำเนินการที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะจากสภาพเชื่อว่าคงไม่สามารถป้องกันช้างป่าได้ สำหรับจุดดังกล่าวเป็นจุดที่ทางบริเวณดำเนินการด้วยวิธีขุดเจาะฝังเสารั้วลึกลงไปประมาณ 2 เมตร
ต่อมาคณะได้เดินทางไปตรวจสอบรั้วกึ่งถาวรบริเวณจุดที่ทำในรูปแบบฐานแผ่ใช้เหล็กยึดติดกับแผ่นหินดานใต้พื้นดินแล้วใช้สลิงขึงกันกันเอาไว้ แต่ถูกช้างป่าดันล้มเสียหายหลายต้น เสารั้วบางต้นที่ล้มหินดานได้ติดกับฐานแผ่มาด้วย ซึ่งบริเวณนี้สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวไปแล้ว การตรวจสอบใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ น.ส.สุนันทา จำปาเงิน ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยภายหลังว่า จุดประสงค์ที่ลงพื้นที่ในวันนี้เนื่องจากทาง ป.ป.ช.เห็นข่าวออกตามสื่อว่าเหล็กที่กั้นช้างป่าไม่ได้มาตรฐาน ป.ป.ช.จึงเดินทางลงพื้นที่เพื่อมาดูว่าเป็นไปตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปจริงหรือไม่ และต้องการรู้ด้วยว่าโครงการนี้มันเสร็จสิ้นและมีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้วหรือยัง
ถามว่าเมื่อมาเห็นกับตาแล้วรู้สึกอย่างไรนั้น เบื้องต้น ป.ป.ช.ยังไม่ได้เห็นสเปกของโครงการว่าเป็นอย่างไร แต่จากการที่ ป.ป.ช.ได้ดูโครงสร้างของรั้วกึ่งถาวรแล้วเชื่อวันมันไม่น่าที่จะป้องกันช้างป่าได้ เพราะจากการดูลักษณะของลวดสลิงที่นำมากั้นเส้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร ส่วนเสาที่ทำรูปแบบฐานแผ่ดูแล้วมีลักษณะเหมือนกับนำเสามาตั้งอยู่บนดินเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าช้างป่ามีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 3 ตัน แค่ช้างป่าชนก็คงจะล้มแล้ว คิดว่ารั้วก็คงจะไม่รอดคาดว่าคงล้มเสียหายแน่นอน
ถามว่าในส่วนของ ป.ป.ช.จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้นเบื้องต้นทราบว่าโครงการดังกล่าวยังไม่มีการส่งมอบงาน หรือตรวจรับงานและยังไม่มีการเบิกเงินงบประมาณ ซึ่งจะบอกว่าหน่วยงานราชการได้รับความเสียหายแล้วหรือยังนั้น เบื้องต้นยังไม่พบความเสียหาย ดังนั้นทาง ป.ป.ช.จึงยังทำอะไรไม่ได้ และต้องมาดูว่าทางทางกรมอุทยานฯจะมีการแก้ไขอย่างไรในเมื่อสัญญาที่กรมอุทยานฯทำกับฝ่ายผู้รับเหมา เมื่อดูแล้วรั้วกึ่งถาวรที่ผู้รับเหมาดำเนินการไม่น่าจะกันช้างได้ จะต้องมาดูว่าทางกรมอุทยานฯจะทำอย่างไรต่อไป
สำหรับการลงพื้นที่ของ ป.ป.ช.ในลักษณะนี้นั้นมันเป็นเหมือนการมาป้องปรามไปในตัวอยู่แล้วโดยไม่ต้องไปทำอะไรก็ได้ เพราะเมื่อมันเป็นข่าวแล้ว ป.ป.ช.ลงตรวจพื้นที่จริงว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปในลักษณะป้องปรามการทุจริตในพื้นที่ที่เราเห็น
แต่ในลักษณะนี้เท่าที่ทางเจ้าหน้าที่มาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ฟัง ทาง ป.ป.ช.มองว่างบประมาณยังไม่เสียหายไปโครงการนี้ เพราะว่ายังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณ จึงถือว่าขั้นตอนยังสามารถแก้ไขได้ระหว่างกรมอุทยานฯกับฝ่ายผู้รับเหมาว่าจะปรับรูปแบบการสร้างรั้วกึ่งถาวรกันใหม่อย่างไร
ด้านนายสิขกพงษ์ กระแจะจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่าฯ กล่าวว่าสำหรับโครงการก่อสร้างรั้วกึ่งถาวร ตนได้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว และเมื่อโครงการมีปัญหาเราก็จะเข้าประชุมกันทุกครั้ง จากนั้นนำผลการประชุมในแต่ละครั้งเสนอไปยังกรมอุทยานฯให้ทราบว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แม้กระทั่งในช่วงเริ่มมีการก่อสร้างแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย แต่ปรากฏว่าขณะนั้นช่งป่าได้มาดันเสารั้วจนล้ม เราก็ได้รายงานไปยังกรมอุทยานฯให้ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็คงจะเป็นไปตามที่ ผอ.ป.ป.ช.บอกว่าคงต้องให้กรมอุทยานฯมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเมื่อดูแล้วมันไม่เหมาะสมและไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริง อาจจะต้องนำเสนอไปยังกรมฯ เพื่อให้พิจารณาและหากมีการยกเลิกจะนำงบประมาณจำนวนนี้ไปใช้กับโครงการอะไรต่อไป
สำหรับปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบได้รับความเดือดร้อนมานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งทางเขตรักษาพันสัตว์ป่าสลักพระก็ทราบปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งงบประมาณที่นำมาก่อสร้างโครงการรั้วกึ่งถาวร ก็เพื่อมาช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว แต่มันกับติดปัญหาปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อโครงการดำเนินการไปแล้ว แต่เมื่อขุดเจาะลึกลงไปปรากฎว่ามันทำไม่ได้เนื่องจากใต้ผิวดินนั้นมันเป็นแผ่นหินดานที่มีความกว้างและยาวไปตลอดทางประมาณ 7-8 กิโลเมตร ซึ่งปัญหาที่พบมันจะเป็นการบ้านของกรมอุทยานฯแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรในการที่จะเปลี่ยนแบบโดยไม่ใช้ในรูปแบบที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งอาจจะต้องให้ทางวิศวกรรมของฝ่ายฟื้นฟูกลับมาคิดอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องฝากไปถึงประชาชนและผู้นำท้องถิ่นด้วยว่าทางกรมอุทยานฯไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาช้างป่าออกมาหากินนอกพื้นที่ ซึ่งกรมอุทยานฯจะทำให้ดีที่สุดต่อไป
ทีมข่าวกาญจนบุรี