OR เผยผลประกอบการปี 2564 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11,474 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.5% แม้ในไตรมาส 4 อัตรากำไรในกลุ่มธุรกิจ Mobility จะอ่อนตัวลงจากภาวะกดดันในการปรับราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการ แต่ในไตรมาส 4 กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังคงแข็งแกร่ง และในปี 2564 ได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน”
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงผลการดำเนินการปี 2564 มีรายได้ขายและบริการ 511,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 11,474 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,683 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.5% ทั้งจากรายได้ขายและบริการ และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้เสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2564 ที่อัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 28 เมษายน 2565 และในปี 2564 OR ได้ปรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตของธุรกิจ พร้อมกับการเติบโตของผู้คนและสิ่งแวดล้อม OR จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” หรือ “Empowering All Toward Inclusive Growth” และได้กำหนดพันธกิจใหม่เพื่อสร้างให้เกิดการเติบโตร่วมกัน โดยผ่านการดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน คือ การสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสานเพื่อการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ (Seamless Mobility) การมุ่งมั่นสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ (All Lifestyles) การขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก (Global Market) และการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับ OR (OR Innovation) โดยภาพรวมผลการดำเนินงาน กลุ่มธุรกิจ Mobility ดีขึ้นจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจะปรับลดลง 5.1% ผลการดำเนินงานของ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับตัวลดลงเล็กน้อย จากการมาตรการในการควบคุมการแพร่กระจายของโรค COVID-19 อย่างเข้มงวด มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศไทยในบางช่วงของปี สำหรับ กลุ่มธุรกิจ Global มีผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง โดยหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดในบางประเทศ อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้เทียบกับไตรมาสที่แล้ว EBITDA ในไตรมาส 4 จำนวน 4,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 367 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.1% โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่เพิ่มขึ้นกว่า 46.0% สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรอ่อนตัวลงจากภาวะกดดันในการปรับราคาขายหน้าสถานีบริการในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง เพื่อช่วยบรรเทาภาระภาคประชาชน ส่วนกลุ่มธุรกิจ Global ปรับตัวลดลง 23.1% ส่วนภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 28.9%
ในปี 2564 ที่ผ่านมา OR ได้เปิดดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีก โรงงานผลิตผงผสมเครื่องดื่ม Café Amazon และโรงงานผลิตเบเกอรี่ Café Amazon ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพิ่มเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ
คาเฟ่ อเมซอน รวมทั้งได้ลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Mobility & Lifestyle เพื่อตอบสนองผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร อาทิ การขยายการให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า EV Station PluZ ทั้งในและนอก PTT Station การเข้าลงทุนใน บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด บริษัท อิ่มทรัพย์ โกลบอล คูซีน จำกัด และบริษัท คามุ คามุ จำกัด อีกทั้งยังมีการร่วมกับ บริษัท บลูบิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง “Orbit Digital” เพื่อยกระดับขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ หรือการร่วมกับ 500 Tuktuks ในการจัดตั้งกองทุน ORZON Ventures เพื่อส่งเสริม Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR เป็นต้น และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ทวีความรุนแรง OR ในฐานะบริษัทของคนไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาความเดือนร้อนของคนไทย โดยได้ริเริ่มโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมชุมชนผ่าน โครงการส่งกำลังใจ..สู้ไปด้วยกัน #ORStayStrongTogether อย่างต่อเนื่อง และได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าเป็นจำนวนกว่า 320 ล้านบาท โดยได้ช่วยเหลือแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน และ LPG รวมถึงร้านค้าก๊าซหุงต้ม และลดการจัดเก็บค่า Royalty fee และ Marketing fee รวมทั้งลดอัตราค่าเช่าให้กับผู้ประกอบการร้านเช่า เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME รักษาการจ้างงาน และสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
สำหรับการดำเนินงานในปี 2565 OR ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตร่วมกับสังคมชุมชน (People) และสิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงาน (Performance) โดยการใช้จุดแข็งด้าน Physical Platform อาทิ PTT Station ร้าน Cafe Amazon ในทำเลที่มีศักยภาพทั่วประเทศและในต่างประเทศ ควบคู่กับ Digital Platform เช่น ระบบ Loyalty Program การชำระเงินผ่าน Digital Payment รวมกับความเชี่ยวชาญด้านการตลาด การบริหารงานอย่างมืออาชีพ และความเชื่อถือทั้งจากคู่ค้าและลูกค้าที่มีต่อ OR มาอย่างยาวนาน เพื่อส่งต่อโอกาสให้กับผู้ประกอบการในทุกขนาดเติบโตไปพร้อมกัน (Inclusive Growth) โดยสำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility จะมุ่งรักษาสถานะความเป็นผู้นำในประเทศไทยในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจไปเป็นธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (Energy Solution Ecosystem) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคโดยมุ่งเน้นสู่การใช้พลังงานสะอาด สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในตลาดร้านกาแฟ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึง Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR เพื่อสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global มุ่งขยายฐานการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดโลก โดยใช้ประโยชน์จากแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของ OR ผสมผสานและปรับผลิตภัณฑ์ของ OR ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแต่ละประเทศ (Localization) และสำหรับกลุ่มธุรกิจ OR Innovation OR มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ศักยภาพที่ OR มีอยู่ร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ในการร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อสร้างตลาดใหม่และธุรกิจใหม่ เพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับ OR (OR Innovation) ซึ่งจะทำให้ OR เติบโตไปพร้อมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน