เอสเอ็มอี (SME) ถือเป็นการประกอบการของนักธุรกิจ นักลงทุนรายเล็ก-รายย่อยที่ในระยะหลังๆ ได้กลายเป็นสำคัญยิ่งอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันก็มีความอ่อนไหวมากเช่นกัน ทั้งในแง่เงินทุนหมุนเวียนและโอกาสเติบโตทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของหน่วยงานช่วยเหลือ SMEในประเทศไทยอยู่มากมาย ที่มีทั้งด้านเงินทุน เช่นSME D Bank หรือหน่วยงานที่ส่งเสริมองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการอย่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หรือแม้แต่การรวมตัวของกลุ่ม SME ด้วยกันเอง อย่าง สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ที่ปัจจุบันมี แสงชัย ธีรกุลวาณิชประธานสมาพันธ์เอสเอ็มเป็นขุนพลที่เป็นผู้นำความหวังของSME ไทย เข้ามานั่งเป็นประธานสมาคมฯ
แสงชัย ธีรกุลวาณิชปัจจุบันอยู่ในวัยย่างเข้า 50 ปี เริ่มบอกกับ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขกให้ฟังว่า ด้วยประสบการณ์จากวัยเด็กที่ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่เคยประกอบธุรกิจในระดับSME มาก่อน การได้ทำงานและการได้พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการมาอย่างมากมาย ทำให้เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
คุณแสงชัยเล่าว่าในวัยเด็กนั้นมีความฝันที่จะเป็นวิศวกร และมีความสนใจที่อยากจะเรียนด้านวิศวกรรม แต่ช่วงกำลังศึกษาเข้าเรียนปริญญาตรีนั้นบังเอิญสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยรังสิตได้อย่างไม่คาดคิดและเมื่อได้เรียนแล้วก็รู้สึกสนุกและชอบ ซึ่งถือเป็นศาสตร์ของอนาคต ที่คนในช่วงนั้นยังไม่เห็นภาพว่าการศึกษาแขนงดังกล่าว จะสามารถไปทำงานหรือสร้างประโยชน์อะไรได้ แต่ทว่า องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพนี้เอง ที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเขามาได้จนถึงปัจจุบันโดยตอนหนึ่ง แสงชัย ได้เล่าถึงความประทับใจตอนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยรังสิต เอาไว้ว่า
“ผมเองเป็นคนชอบทำกิจกรรม ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เคยเป็นประธานสโมสรนักศึกษาคณะเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยรังสิต โครงการที่ประทับใจคือ นำคณะนักศึกษาไปร่วมกับชุมชนพัฒนาชนบท บ้านดงน้อย อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำ 4 เรื่อง คือ แนะนำเกษตรกรใช้ปุ๋ยหมักจากจุลินทรีย์ แนะนำใช้สารปราบศัตรูพืชจากธรรมชาติ สร้างโรงเพาะเห็ดให้ชุมชนมีรายได้เสริม และทำกิจกรรม สอนหนังสือน้องๆในชุมชนช่วงปิดเทอม”
ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เผยอีกว่า หลังจากที่จบมาแล้วก็ได้มีโอกาสไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหาร และได้ค้นพบว่าหัวใจสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง คือต้องมีการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร ที่ต้องการันตีคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ประกอบกับประเทศไทยมีทรัพยากรที่หลากหลายทางชีวภาพ จึงได้มีความสนใจศึกษาในสาขาเฉพาะทาง จนได้รับประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเกษตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อเรียนจบและได้ทำงานมาสักระยะก็มีความสนใจที่จะพัฒนาตนเองและพัฒนาองค์กร เลยไปต่อปริญญาโท ด้านการจัดการมหาบัณฑิต สาขาการจัดการและพัฒนาองค์กร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ต่อมาก็อยากทำตามฝันในวัยเด็กที่หลงใหลอยากเป็นวิศวกร ประกอบกับตัวเขากับพี่น้องได้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม จึงได้เรียนต่อปริญญาโทอีกใบ ด้านวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในสิ่งที่ร่ำเรียนมาผสมผสานเข้ากับประสบการณ์การทำงาน จึงเป็นโอกาสให้คุณแสงชัยนำองค์ความรู้ที่ผ่านมาพัฒนาการประกอบกิจการให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมไปถึงการมองอนาคตด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ และเรื่องของพลังงานและสิ่งแวดล้อม
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ได้ทำงานที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยมานานกว่า 6 ปี จนได้ดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยในปัจจุบัน เนื่องจากประสบการณ์ช่วงวัยเด็กที่ได้เห็นพ่อแม่หาเช้ากินค่ำ ปากกัดตีนถีบ เพื่อส่งลูกๆ เรียนสูงๆ ด้วยความหวังว่าลูกๆ จะไม่ลำบากเหมือนตัวเอง ต้องฝ่าฟันเพื่ออนาคตลูกๆ ซึ่งไม่ต่างจากผู้ประกอบการปัจจุบันที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การกระจายรายได้และกระจายโอกาส ทั้งหมดคือ แรงบันดาลใจและแรงผลักดันที่พาตนเองมาถึงจุดนี้
ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะเคยพบเห็นถึงปัญหาของ SME มาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ลงมือทำงานในสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยการได้ไปพบเจอผู้ประกอบการทั่วทุกภูมิภาค พร้อมกับแลกเปลี่ยนนความคิดเห็นกัน ทำให้มองเห็นถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงถึงความเหลื่อมล้ำ อาทิ การส่งออก SMEที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง ขณะที่รายใหญ่จ่ายดอกเบี้ยถูกกว่ารวมถึงอุปสรรคระบบราชการ ระบบธนาคาร สิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้ได้เห็นแนวทางในการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบนิเวศให้ SME สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การเสนอลดขั้นตอนค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายและรวดเร็ว เป็นต้น
โดยวิสัยทัศน์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการนั้น จะสอดคล้องกับแนวคิดในการบริหาร ที่ต้องทำน้อยแต่ได้มาก ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้ การตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์หรือสิ่งที่ทำ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ตรวจสอบ ทบทวนแผน และลงมือปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง Action พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของทีมพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ และต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค รวมทั้งการเปิดใจรับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อะไรที่ดีต้องนำไปใช้ประโยชน์ และผลงานต้องเป็นของทุกคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์กรสำหรับเป็นที่พึ่งของ SME ได้อย่างยั่งยืน
“จริงแล้วๆ ประเทศไทยควรเริ่มต้นสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกหลานเราตั้งแต่ชั้นประถม ในการส่งเสริมวิชาการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อให้เขาได้มีแนวคิด มีความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้ประกอบการ เพราะการเป็นผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องอยู่กับผู้ทำธุรกิจ แต่ยังรวมไปถึงผู้เป็นพนักงานหรือราชการหรือนักการเมือง ก็จะต้องมีการเป็นผู้ประกอบการ และเมื่อทุกคนมีความเข้าใจในการเป็นผู้ประกอบการ ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้คนเหล่านั้นในการทำธุรกิจใหม่ๆ”คุณแสงชัย กล่าวย้ำอย่างหนักแน่น
ด้านภารกิจในการช่วยผู้ประกอบการในฐานะประธานเอสเอ็มอีไทยนั้น คุณแสงชัย กล่าวเอาไว้ว่า ทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยมีแนวคิดที่จะพัฒนาและให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการอยู่ 5 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
1. ส่งเสริมเรื่องขององค์ความรู้ ยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการ ด้วยการดึงความร่วมมือจากภาครัฐเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านนวัตกรรม หรือ โซเซียลมีเดียเป็นต้น
2.แหล่งเงินทุน ต้นทุนต่ำ เนื่องจาก SME ยังมีปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของผู้ประกอบการที่ต้องการต้นทุนในการพัฒนาหรือสร้างธุรกิจใหม่ๆ
3.ช่องทางการตลาด ที่ต้องเดินควบคู่ไปกับการตลาด การขายและนวัตกรรม ที่ต้องการนำการผลิต
4. การสร้างเครือข่าย ซึ่งอาจเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพลังให้กับ SME ที่สะท้อนถึงปัญหาและอุปสรรคได้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเสนอทางออกให้กับประเทศชาติด้วย สุดท้ายเรื่องที่
5.คือการร่วมกับสื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียง ในการสะท้อนปัญหา มุมมองต่างๆ ให้ถึงภาครัฐ
จากแนวคิดของการบริหารจัดการและพันธกิจ ผนวกกับความมุ่งมั่นและเป้าหมายที่ชัดเจนในการต่อสู้เพื่อผู้ประกอบการ SMEของคุณแสงชัย ทำให้สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเป็นอีกองค์กรที่เป็นความหวังของผู้ประกอบการรายย่อยในการฝ่าฟันอุปสรรค
“ต้องขอบคุณท่านประธานผู้ก่อตั้ง ท่านประธานกิตติมศักดิ์ทั้ง 2 ท่าน และกรรมการบริหาร พี่ๆ สมาชิกทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ให้โอกาสและทำงานร่วมกันเพื่อ SME ไทย และร่วมกันทำให้สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเป็นที่พึ่งพาให้เอสเอ็มอีอย่างแท้จริงทั่วประเทศ เป็นกลไกในการเข้าถึงมาตรการ ความช่วยเหลือ และการพัฒนาเอสเอ็มอีของทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคการธนาคาร ภาคเอกชนและภาคประชาชน เรามีอุดมการณ์ร่วมกันทำภารกิจสมาพันธ์ที่สำคัญคือ ยกระดับขีดความสามารถ ความเป็นผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมขับเคลื่อน เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ ส่งเสริมช่องทางตลาดดิจิทัล ช่องทางการค้า การลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แสวงหาโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างแต้มต่อให้ SME ใช้กลไกเครือข่ายช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สะท้อนแนวคิด ปัญหา อุปสรรค แนวทางการแก้ไข เป็นกระบอกเสียงให้ SME ไทย”คุณแสงชัย กล่าวทิ้งท้าย