นายธงชัย ชอบแก้วกาง ชาวบ้าน บ้านหนองเดิ่น หมู่ 7 ต.เหล่าบัวบาน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เจ้าของสวนชมพู่ เล่าว่า ก่อนที่จะเริ่มทำสวนชมพู่ตนและภรรยาก็เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่นิยมเข้าไปขายแรงงานที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อได้ค่าแรงรับมาจ่ายไปและไม่มีเงินเหลือเก็บเลย ตนและภรรยากลับมาบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ระยะแรกไม่รู้จะทำอะไร จนได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงจึงได้ศึกษาเพิ่มเติม
หลังจากนั้นได้ทดลองแบ่งพื้นที่นาจาก 9 ไร่ ที่ได้รับเป็นมรดกจากพ่อ-แม่ มาปรับ จำนวน 5 ไร่ ปลูกชมพูทับทิมจันทร์ แล้วลงมือปรับปรุงโครงสร้างดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ขุดร่องน้ำเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ในสวน เป็นการลดปัญหาภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นขุดหลุมกว้าง 30 เซนติเมตร ลึก 30 เซนติเมตร ปลูกระยะห่างแต่ละต้นประมาณ 3 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และรดน้ำต้นชมพู่ในช่วงเช้าของทุกวัน ในช่วงฤดูหนาวชมพู่จะเริ่มออกดอกติดผล ช่วงนี้ต้องบำรุงด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 พอดอกโรยก็เริ่มห่อผลด้วยถุงพลาสติกเจาะรูเพื่อระบายอากาศ
หลังจากนั้น 45 วันก็สามารถเก็บผลขายได้ ในแต่ละรอบปีสามารถเก็บผลผลิตชมพู่ได้ 2-3 รอบ รอบที่เก็บผลผลิตได้ดีอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ และแต่ละครั้งจะเก็บผลรวมน้ำหนักแล้วมากกว่า 4,000 กิโลกรัม แต่ปีนี้สภาพอากาศเอื้ออำนวย ปริมาณน้ำไม่ขาด ผลผลิตรวมกันคาดว่าจะถึง กว่า 10 ตัน
โดยราคาจำหน่ายชมพู่หน้าสวนอยู่ที่กิโลกรัมละ 35 บาท (3 กิโลกรัม 100บาท) ในแต่ละวันจะมีลูกค้าซึ่งเป็นพ่อค้าผลไม้จากจังหวัดมหาสารคามและใกล้เคียงมาซื้อถึงที่สวนเฉลี่ยวันละ 200-400 กิโลกรัม ปีนี้น่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายชมพู่ทับทิมจันทร์ไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท
ทีมข่าวมหาสารคาม