ที่สำนักงาน กกต.ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ไต่สวน กรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง เดินทางจากประเทศไทยไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกชี้นำ/ครอบงำ ตาม ม.28 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่สื่อมวลชนได้รายงานว่ามีอดีตผู้บริหารและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ราว 6-7 คนในพื้นที่อีสาน นำโดย นายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำพรรคเพื่อไทยภาคอีสานและอดีตรอง หน.พรรคเพื่อไทย, นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี และประธาน ส.ส.อีสาน และ นางสมหญิง บัวบุตร ส.ส.อำนาจเจริญ เป็นต้น เดินทางจากประเทศไทยไปพบนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เดินทางมาประเทศสิงคโปร์ในช่วง 6-12 มี.ค.65ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเป็นอย่างมากถึงความเหมาะสมในการไปพบปะกันดังกล่าว เนื่องจากนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนักโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายคดี และหนีไปอยู่ต่างประเทศหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งชอบที่ตัวแทนของประชาชนควรที่จะชี้เบาะแสให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำตัวมาลงโทษตามกบิลเมืองมากกว่าที่จะไปพบปะคบค้าสมาคมด้วย
ที่สำคัญ การไปพบปะดังกล่าวพบว่า มีนักธุรกิจเจ้าของโรงสีใหญ่ในอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นพี่ชายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคเพื่อไทย จังหวัดยโสธร และเป็นเพื่อนของอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคเพื่อไทยในอีสาน เข้าไปคุกเข่าพนมมือยกมือไหว้นายทักษิณ ชินวัตรอยู่ด้วย ซึ่งมีข้อสงสัยกันมากว่า อาจเป็นการขออนุญาตจากทักษิณในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทยในสมัยหน้าที่จะมีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปด้วย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่อาจต้องพิจารณาผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตว่าจะเป็นจริงตามข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร เพราะถ้าบุคคลดังกล่าวได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย การพบปะกันครั้งนี้ในประเทศสิงคโปร์ จะสามารถเชื่อมโยงชี้ชัดถึงน้ำหนักด้วยเหตุและผลตามข้อสงสัยนี้ได้โดยชัดแจ้ง
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความมาร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องข้างต้นทั้งหมดที่เดินทางไปพบปะนายทักษิณดังกล่าวให้กระจ่างว่า การกระทำเยี่ยงนั้นเข้าข่ายให้บุคคลซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทยชี้นำ/ครอบงำ ตาม ม.28 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ ซึ่งหาก กกต.วินิจฉัยว่าฝ่าฝืนก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม ม.92(3) อันเป็นเหตุให้ถูกพรรคการเมืองนั้นถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้ต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด