นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่บริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อโควิด – 19 ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้าน โควิด- 19 ที่บริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนความช่วยเหลือจากภาคเอกชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องในการร่วมมือ ช่วยกันแก้ไขการแพร่ระบาดของโควิด – 19 อย่างมีประสิทธิภาพ กรมสรรพากรจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ ต้านโควิด- 19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล)
โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโควิด – 19 เช่น ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อบริจาคให้แก่ สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคดังกล่าว โดยต้องไม่นำต้นทุนของสินค้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
“การขยายเวลาการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้ายาและเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคโควิด-19 เพื่อการบริจาคเป็นสาธารณกุศล จากมาตรการภาษีเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 กรมสรรพากรเชื่อว่า จะช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์ การแพร่โควิด – 19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ”นายเอกนิติ กล่าว