นอกจากนี้ ในเรื่องสถานการณ์โลก จากปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นกระทบต่อต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ส่งผลให้เงินเฟ้อโลกปรับเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันปี 2654 เฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้อยู่ที่ 100-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งภาคอุตสหากรรมยังต้องติดตามสภานการณ์ใกล้ชิด
ดังนั้น ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะปัจจัยเสี่ยงที่ผ่านมาทำให้เอสเอ็มอีหายไปจากระบบจำนวนมาก ตอนนี้ควรจะต้องพยายามพลิกฟื้นเอสเอ็มอีให้กลับมา เปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ขณะเดียวกันภาครัฐชต้องให้การสนับสนุน การหาตลาดและการเพิ่มทักษะเพื่อพัฒนาสินคา
สำหรับในภาคอุตสาหกรรมใหญ่ การส่งออกไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นมาอัตราการขยายตัว 19.5% มีมูลค่า 2.9 หมื่นล้านเหรียญ ยังเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะช่วบยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้
“สิ่งที่ภาครัฐต้องทำตอนนี้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายในประเทศ การนำโครงการคนละครึ่งเฟส5มาดำเนินการต่อ การขยายจำนวนสิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน ตลอดจนผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ รวมถึงธุรกิจบันเทิง และการเปิดประเทศโดยสมบูรณ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ตอนนี้ถ้าหากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลยเศรษฐกิจไทยจะลำบาก โดยเฉพาะเอสเอ็มอีเป็นหัวใจสำคัญที่มีมีผลกระทบต่อกำลังซื้อ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้นทุนวัตถุดิบแพง ในขณะที่ตลาดสินค้ายังมีความต้องอยู่มาก ตอนนี้ตลาดในประเทศกดดันกำลังซื้อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังเข้าสู่การเปิดประเทศ การท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมา ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นกลับมาด้วยมาตรการ คนละครึ่งเฟส 5 ซึ่งอาจทำในแค่ช่วงระยะสั้นก็ได้ 1,000- 1,500 บาท แม้จะเป็นอัตราที่น้อยกว่าทุกครั้งแต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย