นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและนายทะเบียนพรรคเศรษฐกิจไทย ในฐานะกรรมการบริหารพรรคเศรษฐกิจไทย กล่าวว่า หลังจากได้เกิดข่าวความขัดแย้งขึ้นภายในพรรคที่ปรากฏต่อสื่อมวลชน กรรมการบริหารพรรคจำนวน 15 คนได้ยื่นหนังสือลาออกลงวันที่ 24 พ.ค.2565 ต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองและนำรายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับทราบแล้วนั้น
จะส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคใหม่ เพื่อให้กรรมการบริหารชุดใหม่ที่มีความรัก ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พรรคมีความเข้มแข็ง ไปสู่จุดมุ่งหมายได้ และทุกท่านจะร่วมมือกันทำงาน และขับเคลื่อนนโยบายพรรค ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน พรรคของเราจะมีความเป็นปึกแผ่น และเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ ตนเองเห็นว่า เมื่อใครมีปัญหา ก็ควรหันมาพูดจากันในพรรคก่อน ไม่ควรนำไปพูดข้างนอกพรรค ทำให้เกิดสร้างความเข้าใจผิดภายนอก ส่งผลกระทบต่อพรรค แบบนี้ไม่สามารถขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันต่อไปได้ ซึ่งเราไม่ใช่คู่ขัดแย้งจึงได้ตัดสินใจยุติปัญหาดังกล่าว
นายบุญสิงห์ ยังกล่าวว่า คณะกรรมการบริหารพรรคเศรษฐกิจไทย มีจำนวน 22คน เมื่อยื่นลาออกครึ่งหนึ่ง หรือจำนวน 12 คน ถือว่าพ้นสภาพกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดแล้ว และหลังจากนี้ ทางพรรคจะจัดให้มีการประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ ภายใน 45 วันตามกรอบข้อบังคับของพรรคเศรษฐกิจไทย เพื่อจะให้พรรคสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนดำเนินงานได้ตามปกติต่อไป
เรามีความเข้าใจที่ตรงกันว่า เมื่อพรรคมีปัญหา ก็จะต้องปรับปรุงแก้ไข เพราะปัญหาต่างๆไม่ใช่อุปสรรคทำให้ท้อถอย หากแต่เป็นพลังให้พรรคมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และพรรคจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ตามจุดยืนของพรรคที่ได้ประกาศไว้ "
ด้าน พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวในเชิงตั้งคำถามว่า “หรือการที่ผม ยึดมั่นอยู่เคียงข้างประชาชน เน้นปรองดองทุกฝ่าย มุ่งยุติความขัดแย้ง รับฟังคนทุกเพศวัย ตั้งใจดูแลทุกข์สุขของประชาชนและคนในพรรค สนับสนุนประชาธิปไตยนั้น เป็นสิ่งผิด ผมต้องขอโทษทุกท่านครับ ผมเพียงอยากมองเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพื่อลูกหลานของเราสืบไปครับ”
พร้อมยอมรับว่า อยากลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย แต่มีหลายคนโทรศัพท์เข้ามาบอกให้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง ถ้าสามารถแก้ไขปัญหาได้ก็ควรแก้กัน ที่สำคัญเขาบอกว่าอย่าทิ้งผม เป็นคำพูดที่ตนฟังแล้วรู้สึกแรง เลยคิดว่าทิ้งไปพวกเขาจะยังไงกันต่อสำคัญที่สุด เลยต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ ทิ้งไม่ได้ไปด้วยกัน และหากถ้าตนทำได้ต่อ ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ในลักษณะต้องมาสามัคคี ปรองดอง ถึงจะอยู่ร่วมกันได้” พล.อ.วิชญ์ ยอมรับด้วยว่า ตน และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย มีความไม่เข้าใจกันไปในทิศทางเดียวกัน ต่างคนต่างทำ เลยคิดว่าไปด้วยกันลำบาก แต่สิ่งสำคัญถ้ารับฟังทั้งสองฝ่าย มันก็ไปได้