นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในขาขึ้น อาจจะมีผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยต้องปรับตัวขึ้นตามในอนาคตนั้น ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารรัฐที่ใหญ่ที่สุด พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุด
“แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะตรึงจนถึงสิ้นปีนี้ หรือเมื่อไหร่ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก และ การตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ มีผลต่อกำไรของธนาคารที่อาจหายไปบางส่วน ซึ่งธนาคารออมสินก็พร้อมที่จะแบกรับไว้เอง อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ธนาคารออมสินก็สามารถ ทำกำไรเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวว่า ความสามารถในการตรึงอัตราดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของฐานะของธนาคาร ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม อยู่ในระดับ 2.7 % และมีเงินสำรองในระดับที่สูงถึง 165 % และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ( BIS Ratio) สูงถึง 16-17% จากมาตรการฐาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดขั้นต่ำอยู่ที่ 8.5 %
นายวิทัย กล่าวว่า หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้น ผู้กู้ที่มีอัตราดอกเบี้ย แบบคงที่ จะยังไม่ได้รับผลกระทบในการผ่อนชำระเงินงวด แต่กรณีคนที่กู้ใหม่เงินงวดอาจปรับขึ้น เช่น หากกู้ 1 ล้านบาท ตามปกติอาจผ่อนชำระ 7 พันบาทต่องวด ก็จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7,500-8,000 บาทต่องวด
นายวิทัย กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ฝากเงินนั้น อาจต้องฝากแบบระยะสั้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลง ส่วนภาคธุรกิจนั้น อาจต้องเตรียมสภาพคล่องไว้ เนื่องจากเมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสภาพคล่องบางส่วนอาจหายไป จึงจำเป็นต้องสำรองไว้เพื่อธุรกิจ
นายวิทัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ธนาคารออมสิน จับมือทิพยกรุ๊ป และบางจาก ร่วมก่อตั้งธุรกิจ สินเชื่อที่ดินและขายฝาก เพื่อกดดันอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อประเภทนี้ให้ต่ำลง อันเป็นการช่วยเหลือสภาพคล่องของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และประชาชน ที่ต้องการสินเชื่อโดยนำที่ดินมาเป็นหลักประกัน
ด้าน นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังอยู่ช่วงขาขึ้น แต่ธอส.พร้อมตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยเหลือลูกค้าออกไปอย่างน้อยถึงเดือนกันยายน 2565 ส่วนหลังจากนั้นจะต้องดูทิศทางตลาดดอกเบี้ย รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนว่าจะมีการปรับขึ้นเท่าไร ขึ้นกี่ครั้ง แต่ ธอส.ก็พร้อมเข้าไปช่วยบรรเทาผลกระทบช่วยลูกค้าที่กู้บ้าน กับธอส.ให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาพรวมตลาด
“การที่ ธอส.สามารถเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าได้ เนื่องจากธนาคารมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเกินกว่า 1 แสนล้านบาทแล้ว และช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาก็มีการนำกำไรบางส่วนไปช่วยตรึงดอกเบี้ยช่วยลูกค้าไว้” นายฉัตรชัย กล่าว
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ขณะนี้เป็นจังหวะดีของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านจะต้องรีบตัดสินใจ เพราะสินเชื่อยังคงมีดอกเบี้ยต่ำและดอกคงที่เหลืออยู่ เช่น โครงการบ้านล้านหลัง เฟสสอง ดอก 1.99% ขณะนี้ขยายวงเงินกู้ไปถึง 1.5 ล้านบาท และเหลือวงเงินสินเชื่อเพียง 4 พันกว่าล้านบาท เพราะไม่เช่นนั้นในอนาคตคาดว่าภาพรวมดอกเบี้ยจะปรับขึ้นแน่ ส่วนการปล่อยสินเชื่อเดือนมิถุนายนนี้ คาดจะปล่อยกู้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท และทั้งปีจะปล่อยกู้ช่วยคนไทยมีบ้านได้เกิน 3 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.2 แสนล้านบาท