นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ประกอบกับร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวมทั้งสิ้น 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ ตราด ระนอง และภูเก็ต ปัจจุบันสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
ทั้งนี้ ปริมาณฝนที่ตกสะสมตั้งแต่วันที่ 10-17 ก.ค. 65 ส่งผลทำให้มีปริมาณน้ำท่าไหลเข้าอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ รวมกันกว่า 1,997 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลดีต่อสถานการณ์น้ำในภาพรวม ทำให้ปัจจุบัน (18 ก.ค.65) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 41,832 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 55 ของความจุอ่างฯ รวมกัน ยังสามารถรับน้ำได้อีกประมาณ 34,253 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 9,792 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 39 ของความจุอ่างฯ รวมกัน สามารถรับน้ำได้อีก15,079 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งกรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนที่ตกในแต่ละพื้นที่ ควบคู่ไปกับการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าให้ได้มากที่สุด โดยไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ ส่วนพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม ได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทาน ติดตามสถานการณ์น้ำและเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ สามารถเข้าไปช่วยประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์น้ำได้ที่ www.rid.go.th http://swoc.rid.go.th/ https://www.facebook.com/Wmsc.Irri หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมชลประทาน 1460