นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้ของบประมาณ 1,035.75ล้านบาทจากรัฐบาลมาดำเนินการให้กองทุนพัฒนากีฬา ซึ่งสามารถเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะแลกมากับรายได้รวมของการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศรวมกันที่อาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 300,000 ล้านบาท
“เชื่อมั่นว่า หากได้งบประมาณก้อนนี้ จะช่วยให้ปี 2565 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดถึง 12 ล้านคน และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวรวม 1.5 ล้านล้านบาท” นายพิพัฒน์กล่าว
โครงการดังกล่าวมีกรอบวงเงินงบประมาณรวม 1,035.75 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าและบริการ จำนวน 432 ล้านบาท การตลาดภายในประเทศ จำนวน 450 ล้านบาท การตลาดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จำนวน 50 ล้านบาท และการตลาดภูมิภาคยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา จำนวน 103.75 ล้านบาท
โดยงบประมาณสำหรับตลาดในประเทศ 2 ส่วนรวม 882 ล้านบาท จะเป็นงบประมาณที่ขอจากงบฯ เงินกู้ของสภาพัฒน์ ส่วนงบประมาณในส่วนของตลาดต่างประเทศ 153.75 ล้านบาท เป็นงบประมาณกลางของ ททท.
นอกจากนี้ กระทรวงฯ เตรียมของบประมาณพิเศษจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อนำมาสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ส่งเสริมกระแสการท่องเที่ยวเชิงกีฬา เช่น การจัดการแข่งขันกีฬาในประเทศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศปี 2565 นี้ ให้ถึงเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 7 แสนล้านบาท
“ล่าสุดได้หารือกับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติแล้ว โดยพลเอกประวิตรระบุว่าสั่งการให้ไปตรวจสอบจำนวนเงินคงเหลือของกองทุน และพบว่ามีงบประมาณเหลืออยู่ราวหลักหมื่นล้านบาท” นายพิพัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำคณะนายกสมาคมด้านการท่องเที่ยว รวม 12 หน่วยงาน เข้ายื่นข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการภาคเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการส่งเสริม การท่องเที่ยวไตรมาส 3-4 ปี 2565 และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ปี 2566
โดย “มาตรการ ABC – ฟื้นฟูประเทศและพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย” ที่ภาคเอกชนนำเสนอแก่นายกรัฐมนตรีประกอบด้วย
1.มาตรการ A : Accelerate Travel & Tourism Spending เร่งรัดให้เกิดการใช้จ่ายและขยายระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าและขยายระยะเวลาพำนักของ TR และ VOA
2.มาตรการ B : Booster Shot กระตุ้นตลาด เพื่อหมุดหมายในการฟื้นประเทศ “เราฟื้นด้วยกัน” โดยการเพิ่ม Seat Capacity และการเพิ่มความถี่ทั้งเส้นทางในประเทศและระหว่างประเทศ ตลอดทั้งการเชื่อมต่อเส้นทางบินเส้นทางระหว่างประเทศกับเส้นทางในประเทศ ควบคู่กับการตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศศักยภาพที่สำคัญ
และ 3.มาตรการ C: Cost Effective สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการบริหารต้นทุนการดำเนินงานอย่างมี ประสิทธิผล โดยการผ่อนผัน แก้ไขระเบียบ คำสั่ง หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การพัฒนาทักษะฝีมือและคุณภาพแรงงานในภาคบริการของประเทศไทย เป็นต้น
สำหรับภาพรวมภาคการท่องเที่ยวไทยใน 6 เดือนแรกของปีนี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้ว 2.7 ล้านคน จึงคาดว่าตลอดปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยถึง 10 ล้านคน
ส่วนในแง่รายได้รวมคาดว่า อาจปรับตัวลงต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 1.5 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาทแทน เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้จ่ายลดลงจากภาวะเงินเฟ้อ และนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน ใช้เวลาพำนักในประเทศไทยไม่ได้มากเท่าที่ควร เช่น ชาวมาเลเซีย พำนักในไทยประมาณ 2 วันเท่านั้น