พรรคพลังชาติไทย จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น “พรรครวมแผ่นดิน” และมีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทั้งหมด 14 คน ประกอบด้วย พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค นางบุญญาพร นาตะธนภัทร พลเอกสุรวัช บุตรวงษ์ อดีต ผอ.ททบ. 5 และอดีต ผบ.หน่วยข่าวกรองทหาร และพลตรีพิชิต บุตรวงศ์ เป็นรองหัวหน้าพรรค ขณะที่นายจำลอง ครุฑขุนทด เป็นเลขาธิการพรรค นายณัฐพล ทองคำ เหรัญญิกพรรค นายมนตรี พรมวัน นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายคมสันต์ พันธุ์วิชาติกุล โฆษกพรรค ส่วนนายชิงชัย ก่อประภากิจ นายมาโนช อุณหกาญจน์กิจ นายเฉลิมพล ระดาพัฒน์ นายสุริยา ยีลูมา น.ส.กานดา ถาวรประพาฬ และพันเอกธีรเดช เบญจาธิกุล เป็นกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ยังมีบุคคลในแวดวงทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้วมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย อาทิ พลเอก ชัชชัย ภัทรนาวิก อดีตผู้บัญชาการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) กองบัญชาการกองทัพไทย
พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า สำหรับพรรครวมแผ่นดินเป็นพรรคที่รวบรวมผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มากไปด้วยประสบการณ์ทั่วแผ่นดินไทย ทุกอาชีพ ทุกเพศวัย แม้จะมีที่มาแตกต่างแต่มีอุดมการณ์ในทิศทางเดียวกัน คือมุ่งลดความขัดแย้งทางการเมือง ปรองดอง ประสานงานกับทุกฝ่าย เพื่อรวบรวมสรรพกำลังความรู้ ความสามารถ ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน หารายได้เข้าประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว สนับสนุนยกระดับการเกษตรของไทยสู่อุตสาหกรรมเกษตรที่สมบูรณ์
ทั้งนี้พล.อ.วิชญ์ ได้ กล่าวภายหลังประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2565 ว่า เป้าหมายของพรรคมีอย่างเดียว คือไม่ได้เป็นพรรคขนาดใหญ่ ไม่ได้เป็นพรรคขนาดเล็ก แต่เป็นขนาดกลางตามที่เรามุ่งหวังไว้ว่าเราจะเป็นพรรคที่สามารถจะเป็นพรรคที่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราหวังส.ส. 25 ที่นั่ง ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคเหนือ เพื่อจะได้ร่วมรัฐบาล และจะพยายามทำให้ประชาชนศรัทธาและทำให้ดีที่สุดพรรคเราเป็นพรรคของประชาชน สิ่งที่ทำก็เพื่อปรชาชน สิ่งไหนถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเราจะคิดถึงประชาชนเป็นหลัก
“ถ้าคนจะมาอยู่ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องไปดึงหรือทำอะไร ให้เขามาเอง ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เราไม่เคยทำอย่างนั้น และไม่คิดจะทำด้วย ผมขอคนที่สมัครใจที่อยากจะมาอยู่ด้วยกัน เพื่อมาทำงานให้บ้านเมือง ส่วนการส่งผู้สมัครจะส่งเพียงบางเขตที่คิดว่ามีสิทธิ์ โดยจะเน้นในพื้นที่ภาคกลาง” หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน กล่าว