นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงายงานว่า สำหรับการส่งออกครึ่งปี 2565 ประเทศไทยยังครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนำเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 49%
นายเฉลิมชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ จากรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยมุมมองทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สำนักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สำนักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแอนเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สำนักงานกรุงจาการ์ตา) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2565 จีนมีมูลค่าการนำเข้ายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์จากไทย มากเป็นอันดับหนึ่ง
ซึ่งมีปริมาณการนำเข้ายางพาราจากไทย จำนวน 1,426,305 ตัน เพิ่มขึ้น 5.37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี มีการกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง มีนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าช่วยหนุนการฟื้นตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนอยู่ในทิศทางที่ดี วิสาหกิจต่างเร่งฟื้นฟุการผลิต สต๊อกยางพาราธรรมชาติในแหล่งสำคัญอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้ยางพาราธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้น
ขณะที่ อิตาลีนำเข้าสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์จากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจาก เยอรมันและเนเธอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 31,340 ล้านบาท ในขณะที่ทางสหภาพยุโรปกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ EU Green Deal เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น จึงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายและมาตรการ European Green Deal รวมทั้งร่างกฎหมาย Deforestation free product ของ EU ที่ห้ามจำหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายป่า ทั้งสินค้าภายใน EU และสินค้านำเข้ามาจำหน่ายใน EU จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท (เนื้อวัว ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ) และมีแนวโน้มที่ยางพาราจะเข้าอยู่ในรายการสินค้าควบคุมในอนาคต
ทางด้านฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.799 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.88% และคาดการณ์ปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติ 2565 มีปริมาณ 4.275 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.41% โดยมีมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ของระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2465 มีมูลค่า 167,213 ล้านบาท และมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติไปยังต่างประเทศ ปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย. 2465) มูลค่า 70,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด คิดเป็น 49% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 7% ญี่ปุ่น 6% เกาหลีใต้ 4% และอื่น ๆ 25%
ด้าน นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2565 ณ ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 ชั้น 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดยางรวมทั้งมุมมองและข้อเสนอแนะจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรของไทยทุกภูมิภาคทั่วโลกและรายงานของการยางแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาด รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางโดย กยท.เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายาง
ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ สถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยและภาวะตลาด ทำให้ราคาผันผวน จำเป็นต้องเพิ่มกลไกและมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อสร้างโอกาสในวิกฤตโดยเน้นการบูรณาการทำงานจากหลายภาคส่วนร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคภาคเกษตรกร สถาบันเกษตรกรภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 ยุทธศาสตร์ทำงานเชิงรุกบูรณาการทุกภาคส่วน ยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัยเกษตรมั่นคงเกษตรยั่งยืน (3 S :Safety Security Sustanability ) และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนบนฐานศาสตร์พระราชาเป็นกรอบการกำหนดมาตรการและการบริหารเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของยางไทย
ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วยแนวทางความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน (Partnership principal) เป็นการผนึกพลังให้แข็งแกร่งในฐานะประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลกเป็นองค์กรในลักษณะเดียวกับแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือ FKII ของญี่ปุ่นซึ่งมีกว่า 4,200 องค์กรเป็นสมาชิกและมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยประสานกับสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรไทยในญี่ปุ่นเพื่อจัดทำโครงสร้างและระบบของแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเสนอในการประชุมคราวหน้า
และจากการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะของฑูตเกษตรทุกภูมิภาคทั่วโลกทำให้เห็นถึงช่องว่างตลาดใหม่ๆ และนโยบายใหม่ของประเทศคู่ค้าจึงให้เพิ่มมาตรการใหม่อีก 6 มาตรการเชิงรุกได้แก่ 1.มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเช่นการผลิตสื่อดิจิทัลเผยแพร่ในตลาดต่างประเทศ 2.มาตรการตลาดเชิงรุกเน้นความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในรายตัวสินค้าและในรายประเทศคู่ค้า (product based &country based) เช่น ความต้องการยางจักรยานและยางรถบัสเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและผลิตภัณฑ์ยางที่อียูแบนสินค้าจากรัสเซียหรือผลิตภัณฑ์ยางที่รัสเซียระงับการนำเข้าจากอียู ทำให้เกิดช่องว่างที่ไทยสามารถส่งออกไปทดแทนได้
3.มาตรการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเร่งดำเนินการก่อนประเทศคู่แข่งโดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน สวนยางยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ตอบโจทย์เทรนด์ของตลาด เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) FSC และ Deforestation เป็นต้น 4.มาตรการระยะสั้นรายไตรมาสเพื่อการบริหารจัดการตามปฏิทินฤดูการผลิตประจำปีโดยมอบ กยท. ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการร่วมกัน
5.มาตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ยางมูลค่าสูงเน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สถาบันยางและผู้ประกอบการโดยให้ กยท.ประสานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์AIC) ซึ่งมีผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางจำนวนมาก เช่น วัสดุภัณฑ์ก่อสร้างบ้านและอาคาร ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ด้านคมนาคมขนส่ง
และ 6.มาตรการเชิงกลไกการตลาด เช่น การแทรกแซงตลาด ซึ่ง กยท.ได้ดำเนินการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยเข้าแทรกแซงตลาดเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเชิงกลไกตลาด เช่น การบริหารซัพพลายและดีมานด์ กลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง และระบบการประมูลยางออนไลน์เป็นระบบที่เปิดกว้างเพิ่มผู้ซื้อทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาการกำหนดราคาโดยผู้ซื้อน้อยราย หรือการฮั้วหรือการผูกขาด
นอกจากนี้ยังให้จัดฟอรั่มอัพเดตสถานการณ์ตลาดยางโลกทุก 2 เดือนโดย กยท.และสำนักงานเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรไทย เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลรอบด้านที่ทันโลกทันเหตุการณ์ด้วยระบบออนไลน์คู่ขนานกับการประชุมของคณะกรรมการชุดนี้และยังมอบหมายให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตร ณ กรุงบรัสเซลส์ประสานกับ กยท. สถาบันชาวสวนยางและภาคเอกชนไทยในการขับเคลื่อนรับมือการเคลื่อนไหวของอียูในประเด็น Deforestation รวมทั้งมอบหมาย กยท.ให้รวบรวมข้อมูลของสภาการยางแห่งมาเลเซีย (MRC) และนโยบายการวิจัยยางของมาเลเซียส่งให้กับกรรมการทุกคนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้า 1) ผลการดำเนินงานโครงการชะลอขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อชะลอปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ลดความผันผวนของราคายาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิต ซึ่งมีสถาพันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ 207 แห่ง จากการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2565 เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางโดยสถาบันเกษตรกรที่ชะลอการขายยางในช่วงราคายางตกต่ำ และรอจำหน่ายยางเมื่อราคาสูงขึ้น มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยในปี 2565 เป็น 3.37 บาท/กิโลกรัม มูลค่า 87.98 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจกรรมการรวบรวมยางจากเกษตรกร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางด้านการเงินให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร ช่วยลดมลภาวะจากกลิ่นของยางก้อนถ้วยเปียก ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอาชีพการทำสวนยาง ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพัฒนาสถานะเป็นนิติบุคคล
2) ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง และผลการดำเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง จากการดำเนินการทางตลาดของ กยท. ได้ดำเนินการค้ำราคา โดยการบริหารการผลิตให้ตรงกับความต้องการตลาด เข้าแทรกแซงสร้างราคาในตลาดประมูลยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน เข้าประมูลในตลาดล่วงหน้ายางแผ่นรมควัน (เข้าค้ำราคาล่วงหน้า) น้ำยางสดเจรจาต่อรอง ราคาประกาศ กยท.ค้ำตลาด น้ำยางสดเข้าซื้อเพื่อค้ำราคาตลาด เพื่อสร้างจิตวิทยาขาบวกต่อตลาด ข้อมูล กยท.เข้าซื้อน้ำยางสด ณ วันที่ 22 มิ.ย.-14 ก.ค. 2565 รวม 5,239,980 กิโลกรัม เนื้อยางแห้ง 1,720,921.68 กิโลกรัม เป็นเงิน 91,037,470 บาท เฉลี่ยซื้อกิโลกรัมละ 52.90 บาท
สร้างเสถียรภาพราคาน้ำยางจากที่ทุกบริษัทปลายน้ำตั้งราคาจะซื้อน้ำยางสด กิโลกรัมละ 45 บาท (ในเดือน มิ.ย.65) ตรึงราคาได้และกลับมาเพิ่มจากที่ราคาน้ำยางลง 49 บาท มาเป็น 51-52 บาท ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ก.ค.65 รวม 24 วัน ถ้าเทียบปริมาณน้ำยางสดทั้งประเทศ วันละประมาณ 30,000,000 กิโลกรัม (น้ำยางสด) 10,000,000 กิโลกรัม (เนื้อยางแห้ง) จะสร้างราคาเพิ่ม 3-5 บาท/กิโลกรัม (จำนวน 24 วัน) เป็นเงิน 720 ล้านบาท
สำหรับการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานบอร์ด กยท. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่า กยท. นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานบอร์ด กยท. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและการลงทุน นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์