กระทรวงพาณิชย์ จับมือ เซ็นทรัล กรุ๊ป เตรียมจัดงาน “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ดันสินค้าชุมชนเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยม และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ เบื้องต้นเตรียมนำสินค้า 4 กลุ่ม : สินค้าหายาก สินค้าจีไอ สินค้าเพื่อสุขภาพ และสินค้าปลอดสารพิษ/ออแกนิค มาจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผลโดยกลุ่มเกษตรกรจากแหล่งผลิตโดยตรง กำหนดจัดงานฯ 4 ครั้ง กรุงเทพและภูมิภาค คาดจบงานฯ สร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท และต่อยอดธุรกิจขยายตลาดให้ชุมชนปีละไม่น้อยกว่า 90 ล้านบาท เริ่มครั้งแรก 22 - 27 มิถุนายน นี้
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “กระทรวงพาณิชย์ ได้จับมือกับ เซ็นทรัล กรุ๊ป เตรียมจัดงาน “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา” ซึ่งเป็นการจัดงานร่วมกันต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (ตั้งแต่ปี 2555) ภายใต้คอนเซป “สินค้าชุมชน เรียนรู้ด้วยกัน พัฒนาด้วยกัน มีสุขด้วยกัน” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมของกลุ่มเกษตรกรแต่ละชุมชน โดยเน้นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี รวมทั้ง ผลักดันให้ชุมชนเกิดการรวมตัวกันพัฒนาชุมชนอย่างเป็นระบบ และร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เป็นที่ยอมรับของตลาดและผู้บริโภค”
“การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการนำเสนอสินค้าของแต่ละชุมชนให้เป็นที่รู้จักแล้ว ยังต้องการผลักดันสินค้าชุมชนให้สามารถเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยม และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพได้มากขึ้น โดยเตรียมนำสินค้า 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) สินค้าหายาก ซึ่งมีเฉพาะแหล่งและเฉพาะฤดูกาลเท่านั้น 2) สินค้าจีไอ (GI) ของดีขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักประจำจังหวัด 3) สินค้าเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและคนรัก และ 4) สินค้าปลอดสารพิษและออแกนิค กลุ่มผัก/ผลไม้สดคุณภาพเยี่ยมปราศจากสารพิษ โดยสินค้าของทั้ง 4 กลุ่ม มาจากกว่า 50 ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งได้ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีสำหรับผู้บริโภคภายในงานฯ โดยเฉพาะ และจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผลโดยกลุ่มเกษตรกรจากแหล่งผลิตโดยตรง นอกจากนี้ ผู้เข้าเยี่ยมชมงานฯ จะได้พบกับ “ชุมชนต้นแบบ” ที่มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตทั้งในระดับครอบครัวและชุมชน”
“งานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา กำหนดจัดขึ้น 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 27 มิถุนายน 2560 (6 วัน) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 9 - 14 สิงหาคม 2560 (6 วัน) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 24 - 30 สิงหาคม 2560 (7 วัน) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า บางนา กรุงเทพมหานคร และ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 13 - 17 กันยายน 2560 (5 วัน) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น จ.ขอนแก่น โดยคาดว่าหลังจบงานฯ ทั้ง 4 ครั้ง จะสามารถสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการเชื่อมโยงต่อยอดธุรกิจให้แก่กลุ่มชุมชนในการขยายตลาดปีละไม่น้อยกว่า 90 ล้านบาท และมีการขยายกลุ่มชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์และยกระดับรายได้สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง”
“การจัดงานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา” เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคสังคม ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานในลักษณะ “ประชารัฐ” เพื่อขยายและยกระดับช่องทางการตลาดแก่สินค้าชุมชนของไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ รวมทั้ง เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ของประเทศให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน”
ปลัดกระทรวงฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอเชิญชวนผู้บริโภคทุกท่านร่วมอุดหนุนสินค้าชุมชนของไทยภายในงานมหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ทั้ง 4 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่ทุกท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสินค้าชุมชนของไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของกลุ่มเกษตรกรให้ดีขึ้น ซึ่งกลุ่มเกษตรกรถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ดังนั้น เมื่อกลุ่มเกษตรกรมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นตามลำดับไปด้วย”
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับ เซ็นทรัล กรุ๊ป ให้ความรู้ด้านต่างๆ แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายช่องทางการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าชุมชนได้โดยง่าย และได้มีการใช้ช่องทางการตลาดของแต่ละองค์กรเป็นศูนย์กลางในการช่วยกระจายสินค้าชุมชนออกสู่ท้องตลาด ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ใช้ช่องทางการกระจายสินค้าผ่านโครงการต่างๆ เช่น ธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบที่ได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงพาณิชย์ ร้านฉลาดซื้อประหยัดใช้ ฯลฯ ในส่วนของเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป ใช้ช่องทางการตลาด เช่น ท็อปมาร์เก็ต ท็อปซูเปอร์สโตร์ ท็อปเดลี่ เซ็นทรัลฟู๊ดคอร์ท ไทวัสดุ ฯลฯ ในการกระจายสินค้า ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 131 ชุมชน และมีสินค้ากว่า 1,000 รายการ โดยสามารถสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนได้มากกว่า 650 ล้านบาท”