นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เผยว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร เมื่อดำเนินการรับฟังความคิดเห็นแล้วเสร็จจะมีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทันที คาดว่า กฎหมายจะมีผลบังคับใช้เร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ การออกกฎหมายดังกล่าว เป็นไปตามกรณีที่ประเทศไทยมีพันธกรณีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากรแบบร้องขอตามความตกลงหรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรและความตกลง พหุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี
รวมทั้ง มีพันธกรณีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล บัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติตามความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลบัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติประกอบกับประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Informationfor Tax Purposes
โดยเป็นกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากรขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisationfor Economic Co-operation and Development) ซึ่งมีผลผูกพันให้ประเทศไทย ในฐานะสมาชิกต้องดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากรและข้อมูลบัญชีทางการเงินกับคู่สัญญาตามความตกลงดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อผูกพัน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากรและข้อมูลบัญชีทางการเงินดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติดังกล่าว
“การแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวนั้น หมายความว่า เราจะต้องให้ข้อมูลทางภาษีอากรและข้อมูลบัญชีทางการเงิน เช่น หลักทรัพย์ ประกัน เงินฝาก และสินทรัพย์ ของคนต่างชาติในกลุ่มประเทศโออีซีดีทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทย ในทางกลับกัน ประเทศดังกล่าวก็ต้องส่งข้อมูลดังกล่าวมาให้กับเราเหมือนกัน โดยกำหนดการส่งทุกปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.ย.ปีหน้าเป็นต้นไป”
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมาย รองรับการขยายความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ข้อมูลการเงินฝาก ทรัพย์สินในต่างประเทศ กับหน่วยงานสรรพากรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ไทยเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ป้องกันเงินนอกกฎหมาย และไม่ให้เกิดการหลบเลี่ยงภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้ที่อยู่นอกประเทศ หรือมีการนำเงินออกไปต่างประเทศเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ
“ขณะนี้กรมสรรพากร ได้นำข้อตกลงดังกล่าวเสนอต่อรัฐสภาและผ่านความเห็นชอบไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะมีการเปิดรับฟังความเห็นต่อการจัดทำร่างกฎหมาย และเสนอต่อสภาเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาออกกฎหมาย โดยหากผ่านความเห็นชอบ จะมีการออกเป็น พ.ร.บ. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ภายในปีงบ 66”
นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้หารือร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ที่มีสมาชิก 139 ประเทศทั่วโลก เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศ เช่น มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติต้องเสียภาษีเงินได้ โดยปันส่วนกำไรมาให้กับประเทศผู้ใช้บริการ ถึงแม้จะไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศที่ให้บริการ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการจัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิส จากแพลตฟอร์มออนไลน์ของไทยในปัจจุบัน
“การเจรจาหารือกันในกลุ่มสมาชิกโออีซีดี เป็นการต่อยอดการจัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิส เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้เสียภาษีทุกราย ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของไทยที่ต้องการขยายฐานการจัดเก็บภาษีให้ไทยมีแหล่งรายได้ใหม่จากบริษัทข้ามชาติที่เคยหลบเลี่ยงภาษี กลับมาจ่ายภาษีให้กับประเทศ หากเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในปี 66 และมีผลบังคับใช้ในปี 67 และขณะนี้มีการเจรจาขอเลื่อนการบังคับใช้เป็นปี 68”