นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป 2 ปี จากเดิมครบกำหนดวันที่ 24 กันยายน 2565 เป็นวันที่ 24 กันยายน 2567 เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงเป็นน้ำมันพื้นฐานในอนาคต และส่งเสริมเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้จัดทำแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ พ.ศ. 2563 – 2565 อย่างไรก็ตาม สกนช. ไม่สามารถลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามแผนที่กำหนดไว้ จนทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ติดลบ 112,935 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 74,162 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 38,773 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องขยายเวลาการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพไปอีก 2 ปี
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ตามที่ สกนช. ได้นำเสนอ เพื่อให้การดำเนินงานในการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพดังกล่าว สอดคล้องกับมาตรา 55 ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 และเพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถดำเนินการตามพันธกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ สกนช. นำเรื่องการขอขยายระยะเวลาดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ และแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ มาตรการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ประกอบด้วย 1) กลุ่มน้ำมันเบนซิน ให้ทยอยลดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และแก๊สโซฮอล E85 จนไม่มีการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายใน 2 ปี และหากมีความจำเป็นต้องขยายกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว จะดำเนินการภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกที่จูงใจให้ใช้น้ำมันเบนซินพื้นฐานตามที่ภาครัฐกำหนด โดยกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมทำให้ราคาขายปลีกต่อค่าความร้อนจูงใจให้ใช้น้ำมันพื้นฐานแทนน้ำมันทางเลือก 2) ให้กลุ่มน้ำมันดีเซล ให้ทยอยลดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B10) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20จนไม่มีการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายใน 2 ปี และหากมีความจำเป็นต้องขยายกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว จะดำเนินการภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกที่จูงใจให้ใช้น้ำมันดีเซลพื้นฐานตามที่ภาครัฐกำหนด โดยกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม ทำให้ราคาขายปลีกจูงใจให้ใช้น้ำมันพื้นฐานแทนน้ำมันทางเลือก
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเริ่มดำเนินการตามแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ในส่วนของน้ำมันเบนซินจะเริ่มดำเนินการเมื่อทราบ น้ำมันพื้นฐานว่าเป็นชนิดใด ส่วนน้ำมันดีเซลจะเริ่มดำเนินการเมื่อมีการผสมสัดส่วน B100 ที่ต่างกันเพื่อให้ทราบน้ำมันพื้นฐานเป็นชนิดใดเช่นเดียวกัน
พลเอกประวิตร กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน จึงขอให้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งบูรณาการ การทำงาน ในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการบรรเทาภาระ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน พร้อมย้ำให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่ออนาคต