ตามที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เรื่องการให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจึงแจ้งให้ผู้รับสัมปทานบนบกทุกรายหยุดกิจกรรมการผลิตปิโตรเลียมที่มีการดำเนินการอยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก. เป็นการชั่วคราวนั้น
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด (ปตท.สผ.สยาม) บริษัทย่อยที่ ปตท.สผ. ถือหุ้น 100% ทั้งทางตรงและทางอ้อม และเป็นผู้ดำเนินงาน จึงได้หยุดการผลิตโครงการเอส 1 เฉพาะในพื้นที่ ส.ป.ก. ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2560 ทั้งนี้ที่ผ่านมา การดำเนินการของ ปตท.สผ.สยาม เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยบริษัท ไทยเชลล์ เอ็กซ์พลอเรชั่น แอนด์โปรดักชั่น จำกัด (ไทยเชลล์) ผู้รับสัมปทานเดิม ได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ และต่อมาในปี 2536 ได้มีการออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินทับซ้อนพื้นที่ที่ผู้รับสัมปทานเดิมเข้าใช้ประโยชน์ ในปี 2543 บริษัท ไทยเชลล์ ได้ดำเนินการยื่นขออนุญาตใช้ที่ดินในเขต ส.ป.ก. พร้อมยื่นคำขอรับคำยินยอมให้ใช้ที่ดินในเขต ส.ป.ก. ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เมื่อ ปตท.สผ. เข้าซื้อกิจการโครงการและเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2547 จึงได้ดำเนินการเข้าใช้ประโยชน์ตามที่บริษัท ไทยเชลล์ ได้รับอนุญาต รวมถึงได้ขออนุญาตการเข้าใช้ประโยชน์ตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
โครงการเอส 1 ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และกำแพงเพชร โดย ปตท.สผ. และ ปตท.สผ.สยาม ถือสัดส่วนโครงการเอส 1 ร้อยละ 100 มีปริมาณการขายน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 27,351 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ประมาณ 264 ตันต่อวัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 21 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทั้งนี้ การหยุดการผลิตโครงการเอส 1 ในพื้นที่ ส.ป.ก จะส่งผลให้ปริมาณการขายน้ำมันดิบลดลงประมาณ 15,000 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลงประมาณ 130 ตันต่อวัน และก๊าซธรรมชาติลดลงประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน อย่างไรก็ดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างการรวบรวมผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้รับสัมปทานบนบกรายอื่น เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป