นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่าสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กับ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ทางวิชาการ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. ด้านวิชาการ ส่งเสริมการวิจัย และนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในภาคเศรษฐกิจฐานรากที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการ SME ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม 2. ด้านการสำรวจ และสะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจฐานราก โดยพัฒนาดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจฐานราก และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับความต้องการและประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของมาตรการต่างๆที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากทั้งทางตรง และทางอ้อม 3. ด้านการเผยแพร่ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อเศรษฐกิจฐานรากและ NIDA
ทั้งนี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของรัฐ มีคณาจารย์ที่มีความรู้ ประสบการณ์ถ่ายทอดที่หลากหลายและศูนย์การศึกษาในส่วนภูมิภาคถึง 8 แห่ง รองรับการขยายโอกาสทางศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต และเพิ่มสมรรถนะ ทักษะนักศึกษา ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไปที่สนใจให้ได้รับการเรียนรู้ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบทั้ง Re skills Up skills และ Future skills เป็นที่พึ่งและให้บริการทางวิชาการแก่ทุกภาคส่วนในสังคม
ขณะที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบการ SME ไทยที่มีอยู่ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ ลงลึกถึงในระดับอำเภอนับแสนราย และเป็นผู้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากได้เข้าถึงองค์ความรู้สร้างความเป็นผู้ประกอบการที่มีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ การประยุกต์ตลาดดิจิทัล เพิ่มโอกาสแหล่งทุนต้นทุนต่ำ พึ่งพาตนเองและช่วยเหลือกันและกัน รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำ
ซึ่งทั้ง GDP SME มีสัดส่วนเพียง 35% ของ GDP ทั้งประเทศ ผู้ประกอบการรายย่อย มีสัดส่วน GDP เพียง 3% ผู้ประกอบการรายย่อม มีสัดส่วน GDP เพียง 14% และผู้ประกอบการขนาดกลางมีสัดส่วน GDP 18% ขณะที่สัดส่วนการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยทั้งหมดในปี 2564 มีเพียง 12.37% โดยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยเพียง 1.06% รายย่อม 3.72% และรายกลางเพียง 7.66%
“ สิ่งสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือ การเป็นกระบอกเสียง “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุกที่มีความเท่าทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่มีหลากหลายปัจจัย อาทิ รายได้ลดลง ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง เงินเฟ้อ เศรษฐกิจฝืด การปรับตัวของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทแปรปรวน ค่าแรงเพิ่ม และหนี้ครัวเรือนขยายตัวส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียทั้งในระบบธนาคารพาณิชย์ และนอกระบบธนาคารพาณิชย์ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำที่ขยายวงกว้างขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไขที่จริงจัง ตรงประเด็น รวดเร็วและเป็นธรรม “ นายแสงชัย กล่าว