กยท. แจงประเด็นส่งเสริม สนับสนุนชาวสวนยาง ให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณี กยท. มีนโยบายให้โค่นยางพาราปีละ 4 แสนไร่ เพื่อบริหารจัดการซัพพลาย โดยมีกองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางในการนำไปปลูกแทน ร้อยละ 40 ของเงินกองทุนพัฒนายางพาราเท่านั้นว่า ปัจจุบัน กยท.ให้การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน จำนวน 200,457 ราย คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1.98 ล้านไร่ แบ่งเป็นปลูกยาง 1,439,903.20 ไร่ ไม้ยืนต้น 79,162 ไร่ ปาล์มน้ำมัน 442,370.75 ไร่ และปลูกพืชแบบผสมผสาน 15,561.45 ไร่ โดยเกษตรกรจะได้รับเงินสนับสนุนไร่ละ 16,000 บาท ซึ่งการดำเนินการ กยท. สามารถทำได้ตาม พรบ.กยท.ในมาตรา 37 วรรค 2 ที่กำหนดไว้สำหรับการปลูกแทน โดยให้ส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรทั้งยางพันธุ์ดี พันธุ์ไม้ยืนต้น พันธุ์พืช ปุ๋ย เครื่องมือเครื่องใช้ จัดบริการอย่างอื่นช่วยเหลือ หรือจ่ายเงินให้ก็ได้ ทั้งนี้ จะจัดให้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ โดยหลักจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ได้รับการสนับสนุนเป็นเงินสดโอนเข้าบัญชีเกษตรกร จะเป็นประเภทค่าแรง อาทิ การเตรียมดิน การปลูก และการบำรุงรักษาสวนจนกว่าจะได้ผลผลิต เป็นต้น ประมาณ 5,000 บาทต่อไร่ ส่วนปัจจัยการผลิต อาทิ พันธุ์ยาง ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ กยท.สามารถบริหารจัดการช่วยเหลือ โดยการจ่ายเป็นวัสดุ หรือเป็นเงินให้แก่เกษตรกรก็ได้เพราะแต่ละพื้นที่มีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่น กรณีพันธุ์ยางบางพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งผลิตกล้ายาง จะจ่ายเป็นเงินสด เพื่อให้เกษตรกรไปจัดหาปัจจัยการผลิตเอง หรือปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งชาวสวนยางโดยส่วนมากของประเทศเป็นเกษตรกรรายย่อย การจัดหาปัจจัยการผลิตประเภทนี้ มีต้นทุนค่อนข้างสูง อาจได้สิ่งที่มีคุณภาพต่ำ หรือราคาแพงกว่าท้องตลาดโดยทั่วไปได้ อีกทั้ง บางรายอาจไม่ได้นำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาสวนยาง
ดร.ธีธัช กล่าวต่อว่า ในปีนี้ กยท. จัดหาปุ๋ยเคมีให้เฉพาะการปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดีในเขตภาคใต้และภาคตะวันออกที่มีสวนปลูกแทนจำนวนมาก เพื่อให้สวนยางเป็นไปตามมาตรฐานเกษตรกรจะสามารถเปิดกรีดได้เร็ว โดยมีกลุ่ม/สถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็งเข้าร่วมโครงการเก็บรักษา ผสมปุ๋ย และจ่ายปุ๋ยให้ กยท. ทั้งนี้ กระบวนการบริหารจัดการ กยท.ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่โปร่งใส และเป็นธรรม ปุ๋ยทุกชนิดต้องผ่านการวิเคราะห์ตามเกณฑ์มาตรฐาน ณ ปลายทาง พนักงาน กยท. จะคำนวณปริมาณและจัดทำใบสั่งจ่ายวัสดุ สั่งจ่าย ณ จุดจ่ายปุ๋ยใกล้บ้านเกษตรกรที่มีมากกว่า 300 จุด และที่สำคัญการจัดหาปุ๋ยครั้งนี้ไม่มีการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใด เนื่องจาก มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขายที่ชัดเจน โดยมีบริษัทสนใจซื้อเอกสารการประมูลมากถึง 25 บริษัท เป็นไปตามเงื่อนไขและขั้นตอนการประมูลด้วยระบบ e-Auction ฉะนั้น เรื่องการทุจริต หรือเอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนใดก็ตาม ย้ำว่า เป็นประเด็นนโยบายหลักที่สำคัญมากในการบริหารงาน กยท. ซึ่งบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย ตระหนักและติดตามทุกโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน
ส่วนประเด็นการสนับสนุนเงินทุนให้กู้เพื่อนำมาประกอบอาชีพ นั้นว่า ดร.ธีธัช ชี้แจงว่า กยท. ได้จัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามมาตรา 49 (3) ประมาณ 2.5 พันล้านบาท ให้กับเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. ซึ่งคุณสมบัติของผู้กู้ยืมเงินครั้งนี้ หากเป็นชาวสวนยางรายย่อย สามารถใช้บุคคลค้ำประกันอย่างน้อยสองคน หรือใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันก็ได้ และสำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร ต้องมีทุนเรือนหุ้นไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท และมีวินัยทางการเงิน ทั้งนี้ หากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางใดที่ได้รับการผ่อนผัน ขยายเวลาชำระหนี้ ลดหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ประนอมหนี้ และสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข ถือว่า มีคุณสมบัติที่จะกู้ยืมได้ และสำหรับผู้ประกอบกิจการยาง จะต้องไม่มีหนี้ผิดค้างชำระต่อสถาบันการเงินหรือ กยท.เช่นกัน