นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยปี 2565 จะขยายตัวร้อยละ 2.8 ไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4 ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตหลักๆ ขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.3 และร้อยละ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ ตามแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ส่วนระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า และครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ ยังควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง พร้อมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย จะกลับไปสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ภายในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้สอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังปรับตัวดีขึ้น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและดำเนินการตามนโยบาย เพื่อดูแลเศรษฐกิจภาพรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกำหนดมาตรการทางการเงินให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งผลจากการคาดการณ์ของ IMF และ ธปท. สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและมั่นคง อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี