นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้หารือกันถึงมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะใส่เม็ดเงินลงไปเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในช่วงปลายปีนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการเยียวยาน้ำท่วม และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี
โดย นายกรัฐมนตรี สั่งให้กระทรวงมหาดไทย ไปสำรวจความเสียหายของประชาชนจากน้ำท่วมว่าจะต้องมีการเยียวยาทั้งหมดกี่ครัวเรือน จะมีการสรุปวงเงินที่ช่วยเหลืออีกครั้งในการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า และนายกฯ สั่งการให้ไปดูแหล่งเงินต่างๆ ที่ยังสามารถรวบรวมมาเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม เช่น การเปลี่ยนแปลงงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่อาจจะยังสามารถทำได้ รวมถึงเงินทดรองราชการต่างๆ ที่เคยมีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณที่ผ่านมา ส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่างการรวบรวม จะมีมาตรการที่คล้ายๆ กับในปีที่ผ่านมา เช่น การต่ออายุมาตรการคนละครึ่ง มาตรการช้อปดีมีคืน โดยจะใช้เงินงบประมาณบางส่วนและเงินที่เหลือจากโครงการเดิม จะชัดเจนช่วงประมาณกลางเดือน พ.ย.นี้
“วงเงินงบประมาณที่จะลงไปในระบบเศรษฐกิจทั้งจากมาตรการเยียวยาน้ำท่วม และการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีจะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 3.3% ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ไว้ โดยในส่วนของการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย โดยคาดว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยจะมีประมาณ 10 ล้านคน”
ด้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผย ที่ประชุม ครม.ยังไม่ได้พูดถึงวงเงินที่จะนำมาใช้ในปลายปีนี้ รวมถึงยังไม่ได้พูดถึงวงเงิน 23,000 ล้านบาท ที่ ครม.หารือกันในสัปดาห์ก่อนว่าจะนำออกมาใช้ เพราะความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมกว้างขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องรอกระทรวงมหาดไทยสำรวจให้เกิดความชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตาม ครม.ได้รับทราบมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2565 ของกระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล รวม 35 มาตรการ ประกอบไปด้วย การช่วยเหลือของกระทรวงการคลัง 6 หน่วยงาน รวม 14 มาตรการ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 21 มาตรการ
โดยมาตรการของกระทรวงการคลัง ทางกรมสรรพากร ให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่าแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมิน กรณีบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคได้ 1 เท่า แต่ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ สำหรับการบริจาคให้แก่ส่วนราชการ หรือองค์การสาธารณกุศล รวมทั้งการบริจาคผ่านบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นที่นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งในกรณีหลังนี้ ผู้ประกอบการยังได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริจาคสินค้าด้วย โดยบุคคลธรรมดาและบริษัทนิติบุคคล จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ กรณีได้เงินชดเชยที่หรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคหรือช่วยเหลือจากรัฐบาล ไม่เกินมูลค่าความเสียหาย และสินไหมทดแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันภัย และให้ขยายระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีหรือนำส่งภาษี และการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน จากเดิมที่ต้องยื่นหรือขอภายในเดือน ต.ค. 2565 และเดือน พ.ย. 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2565 นอกจากนี้ มาตรการในระยะถัดไป ให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับความเสียหายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และค่าซ่อมแซมรถตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
ทางด้านกรมศุลกากร ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อบริจาคให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 2565 ขณะที่กรมสรรพสามิต ขยายกำหนดเวลายื่นงบเดือน สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบกิจการสถานบริการในจังหวัดที่มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. - 31 ต.ค.2565 จากเดิมในเดือน ต.ค. 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 15 พ.ย. 2565
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลาง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศให้ท้องที่เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการ 20 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และขอขยายวงเงินในกรณีที่ไม่เพียงพอได้ ด้านกรมธนารักษ์ยกเว้นค่าเช่าสูงสุด เป็นระยะเวลา 2 ปี สำหรับที่อยู่อาศัยที่เสียหายทั้งหลังและที่อยู่อาศัยที่เสียหายบางส่วน ยกเว้นค่าเช่า 1 ปี ส่วนการยาสูบแห่งประเทศไทย ช่วยเหลือพนักงานยาสูบและครอบครัว ตามหลักเกณฑ์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการดำรงชีพ