นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านกลไกในการปราบปรามการทุจริต สังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สปท. กล่าวว่า ตนขอแถลงข่าวชี้แจงถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ระบุว่าต้องการทราบข้อมูลของผลการศึกษาที่คณะอนุกรรมาธิการฯ กรณีของการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ทำสัญญากับบริษัทเอกชน กลุ่มคิง พาวเวอร์นั้นผิดกฎหมายอย่างไร เพื่อให้การศึกษาและการตรวจสอบเป็นไปด้วยความรอบคอบโดยดำเนินการเพื่อให้นายกฯดำเนินการสั่งการได้ด้วยความถูกต้องตามที่ได้เคยรายงานให้ท่านนายกฯทราบไปแล้วนั้น โดยนายกฯระบุว่า จะปลดในเรื่องอะไรและกฎหมายระบุว่าอย่างไร มีการดำเนินการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานหรือไม่อย่างไร ใครต้องรับผิดชอบ ซึ่งหมายถึงต้องรับผิดชอบร่วมกันใช่หรือไม่นั้น กรณีดังกล่าว จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ ทอท.และผู้ร่วมกระทำความผิดร่วมทุกคนที่ทำให้รัฐและผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียหายจากกรณีการปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำผิดกฎหมายและข้อสัญญา ที่ก่อหรือเอื้อประโยชน์ให้เอกชนได้รับผลประโยชน์เกินกว่าที่สัญญาระบุไว้และเกิดความเสียหาย อันเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อกฎหมายและสัญญาที่กำหนดว่าจะต้องจ่ายรายได้ส่วนแบ่งให้ ทอท. 15% และเจ้าหน้าที่การท่าฯต้องเรียกเก็บให้ครบตามสัญญา 15% จากยอดการขายสินค้าหรือการบริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า แต่ปรากฎหลักฐานและข้อเท็จจริงก่อให้เกิดความเสียหายนับหมื่นล้านบาท จึงจำเป็นต้องฟ้องต่อศาลทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อให้ศาลฯได้พิจารณาคดีลงโทษ ระงับ ยับยั้งความเสียหายของประเทศชาติและผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมากซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการร่วมมือกันทุจริต ประพฤติมิชอบต่อไปและจะส่งคำฟ้อง รวมทั้งรายละเอียดให้กับพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าคสช.เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่า ท่านต้องการจะปลดผู้บริหาร ทอท.คนใด หรือจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนและคณะอนุกมธ.ฯได้ทำหน้าที่ในส่วนที่ต้องรับผิดชอบเพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะและของประเทศชาติ โดยในสัปดาห์นี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบคำฟ้องของทีมทนายความและจะยื่นฟ้องต่อศาลต่อไป เพราะทุกขั้นตอนต้องละเอียด รอบคอบ เพื่อไม่ให้ใครมากล่าวหาว่า พวกเราทำเรื่องนี้เพื่อหวังผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งยืนยันจะทำตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงโดยทำความจริงให้ปรากฎต่อสาธารณชนว่ามีหน่วยงานรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นเวลายาวนาน โดยไม่มีการแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องตามกฎหมาย