นายพชรพจน์ นันทรมาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 66 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเติบโตได้ 3.4% โดยมาจากปัจจัยของภาคท่องเที่ยวที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ และเข้ามาทดแทนภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่ประเมินว่า ภาคการส่งอออกไทยในปี 66 จะเติบโตเพียง 0.7% โดยในปี 66 ภาคการท่องเที่ยวจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะหลังจากจีนได้เปิดประเทศ ทำให้จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเสริม ซึ่งในปี 66 Krungthai COMPASS คาดว่าในภาพรวมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาไทยราว 22.5 ล้านคน สูงกว่าปีก่อนที่ 10.2 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวที่กลับมาดีขึ้น อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในระยะสั้นได้ เนื่องจากต้นทุนค่าจ้างในภาคบริการที่สูงขึ้น ซึ่งส่งให้ต่อเงินเฟ้อมีโอกาสปรับสูงขึ้น และอาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้สูงขึ้นตาม
ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง จะยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่ง Krungthai COMPASS ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 66 อยู่ที่ 2% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.25%
นายพชรพจน์ กล่าวด้วยว่า ภายใต้โลกใหม่ที่มีความผันผวนและซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition สำคัญใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 2.เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะชะลอตัว 3.เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ภาคการท่องเที่ยว 4.การเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของไทย และ 5.การเปลี่ยนผ่านท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น
"การเปลี่ยนผ่านทั้ง 5 ด้าน มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เป็นได้ทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในการปรับตัวเข้าบริบทโลกใหม่ที่ใส่ใจกับเรื่อง climate change และความยั่งยืน อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการปรับธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในยามที่ต้นทุนอื่นๆ ก็สูงขึ้นรอบด้านทั้งดอกเบี้ย ค่าไฟ และค่าแรง แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ผู้ประกอบการที่ปรับตัวจะมองเห็นลู่ทางธุรกิจใหม่ๆ มีโอกาสเติบโตแม้ในยามที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว" นายพชรพจน์ ระบุ
นายฉมาดนัย มากนวล นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า แม้ว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ จะชะลอตัวจากการขึ้นดอกเบี้ย และยุโรปมีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตพลังงาน แต่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศเหล่านั้น ยังมีทิศทางที่เข้มข้นมากขึ้น สะท้อนจากการตอกย้ำจุดยืนของประชาคมโลก รวมถึงประเทศไทยในเวทีการประชุม COP27 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
สำหรับในปี 2566 ภาคธุรกิจต้องติดตามประเด็นด้านกฎเกณฑ์ที่สำคัญ อาทิ การเดินหน้าบังคับใช้มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนที่พรมแดน (CBAM) ของยุโรป และแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม หรือ Taxonomy ของประเทศไทย นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังต้องมองหาโอกาสจากนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น นโยบายเศรษฐกิจ BCG และนโยบายการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติภายใต้แนวคิด Better and Green Thailand 2030 เป็นต้น
นายชนม์นิธิศ ไชยสิงห์ทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า Krungthai COMPASS คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 3.4% ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ขยายตัวได้ 3.2% แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจะถูกเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 22.5 ล้านคนหรืออาจจะมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนหลังประเทศจีนผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลงจะกระทบต่อการส่งออก ซึ่งอาจขยายตัวเพียง 0.7% เท่านั้น ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยเดินหน้าด้วยเครื่องยนต์เดียวจึงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก
นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อสูงจะยังไม่หมดไป เนื่องจากภาคธุรกิจยังต้องรับมือกับการเปลี่ยนผ่านด้านต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีจะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลให้คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% ในปี 2565 ขึ้นสู่ระดับ 2% ในปี 2566 และอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal rate) อาจอยู่ที่ 2.5% ในปี 2567 เป็นยุคดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัวของประเทศไทย ส่วนค่าเงินบาทยังเผชิญความผันผวนจากการคาดการณ์นโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.75-36.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ