เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา จัดสัมมนาวิชาการ เรื่องการเมืองสีขาว ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย นายพีรพล ตริยะเกษม ประธานมูลนิธิสถาบัน 14 ตุลา นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภาและ อดีตประธานรัฐสภา พ.ศ.2547 – 2549 รศ.วิทยากร เชียงกูล อดีตคณะบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร.ศ. ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที สภากาแฟนิวส์วัน เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีผู้สนใจร่วมสัมมนาจำนวนมาก
นายพีรพล ตริยะเกษม กล่าวว่า ขณะที่ปัญหาความยากจน ภาระหนี้สินของประชาชน และภาระหนี้สินของประเทศเพิ่มมากขึ้น ยังมีปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ผลประโยชน์ชาติตกอยู่ในมือกลุ่มบุคคลหรือทุนใหญ่ของประเทศ ไม่สามารถกระจายรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง อีกทั้งการเมืองและการเลือกตั้งของไทยยังมีแนวโน้มที่ใช้อำนาจเงินมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ชัยชนะ ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารประเทศแบบถอนทุนคืน ยิ่งซ้ำเติมภาระ ความยากลำบาก ในเรื่องค่าครองชีพของประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้ การสร้างสังคมให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีความหวังในอนาคต มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนมุ่งหวัง และหากจะเป็นจริงได้นั้น การเมืองไทยจะต้องเป็นการเมืองสีขาว ทั้งกระบวนการและเป้าหมาย มีธรรมมาภิบาลในการบริหารประเทศ โดยทำให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
“การที่จะก้าวพ้นจากการเมืองที่แฝงด้วยผลประโยชน์ ในมิติต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน เป็นเรื่องที่ยากมาก มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา และเครือข่ายประชาธิปไตย จึงเห็นพ้องต้องกันว่า จะร่วมกันเคลื่อนไหว เพื่อสร้างความตระหนักต่อสังคม ให้ประชาชนหรือทุกภาคส่วน ได้กลับมาทบทวนถึงกระบวนการต่างๆ เพื่อให้ทำให้เกิด การเมืองสีขาว การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นเสมือนไม้ขีดไฟก้านแรกที่ถูกจุดขึ้น และส่งต่อไปยังเทียนไขเล่มต่อๆ ไป จนกลายเป็นกองไฟลูกใหญ่ในอนาคต และเผาพลาญความไม่ดีงามของการเมืองไทยให้หมดสิ้นไป”
นายสุชน ชาลีเครือ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ คาดหมายว่าจะมีการใช้เงินเพื่อหาเสียง หาคะแนน จำนวนมาก โดยในบรรดาพรรคการเมืองไทย 89 พรรคการเมืองนั้น พรรคที่มีโอกาศได้จำนวน ส.ส.มาก คือพรรคขนาดใหญ่ มีทุนใช้จ่ายในการหาเสียง ส่วนพรรคขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนกลุ่มวิชาชีพและกลุ่มชาติพันธุ์จะหายไป เพราะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้อง 3 แสนคะแนน ต่อ ส.ส. 1 คน พรรคใหญ่ซึ่งมีฐานเสียง มีทุนทรัพย์จะมีโอกาสมากกว่า และหลังการเลือกตั้งเชื่อว่าจะเกิดรัฐบาลผสม เพราะจะไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินครึ่งรัฐสภา
ด้าน นายวิทยากร เชียงกูล กล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยม ส่วนจะเป็นประชาธิปไตยได้มากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ประชาชน เราจึงต้องมองการเมืองในความหมายกว้าง มากกว่าการเลือกตั้ง และการเมืองของภาคประชาชนต้องทำให้เป็นการเมืองสีขาว ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่คิดแต่เรื่องประชานิยม ไม่ได้คิดเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ แต่ประชาชนต้องตื่นรู้และร่วมกันคิด เพื่อช่วยกันทำใหเการเมืองมีสีขาวมากที่สุด ไม่ใช่สีดำ หรือสีเทา