ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สุทธิโรจน์ นพโพธิพงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยประจำจังหวัดอุบลราชธานี อุตสาหกรรมจังหวัด เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเดินสำรวจการขอทำสัปทานโรงโม่หินบริษัท ส.เขมราฐอินดรัสทรี้ จำกัด ตั้งอยู่บ้านเกษตรสมบูรณ์ ต.บุเปือย อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งถูกนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าโรงโม่หินดังกล่าวซึ่งเป็นของภรรยาอดีตนักการเมืองชื่อดังของจังหวัด ประกอบกิจการโรงโม่หินนอกเขตสัปทานบัตรที่ได้รับอนุญาต
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า โรงโม่หินแห่งนี้ได้ขอทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงเขาน้อย ตำบลบุเปือย และตำบลสีวิเชียร อ.น้ำยืน เนื้อที่ประมาณ 180 ไร่ ตั้งแต่ปี 2551 และมีระยะเวลาสัมปทานรวม 10 ปี เพื่อทำการขุดเจาะย่อยหินนำไปใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่ามีพื้นที่ถูกบุกรุกเข้าไปขุดย่อยสลายหินในเขตพื้นที่ ส.ป.ก.4-01 เนื้อที่ 1 งาน 42 ตารางวา ที่เหลืออีก 6 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา เป็นพื้นที่ของเขตป่าสงวนซึ่งตั้งอยู่ในเขตบ้านเกษตรสมบูรณ์ ติดที่ตั้งของโรงโม่ และอยู่นอกเขตสัมปทานบัตรที่ทางโรงงานได้รับอนุญาต
สอบสวนนายนายธเนศ เตียประพงษ์ ผู้จัดการโรงโม่หิน ปฏิเสธไม่ได้เป็นผู้บุกรุก และไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ หลังทราบเรื่องทางโรงโม่ได้ไปจัดทำแนวเขตการขุดหินของบริษัทให้มองเห็นไว้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกเข้าไปขุดตักหินนอกเขตสัมปทานมาทำประโยชน์อีก
ขณะที่ พ.ต.อ.สุทธิโรจน์กล่าวว่า หลังเข้ามาตรวจสอบพื้นที่และพบมีการบุกรุกเข้าไปทำหินนอกเขตสัมปทาน ซึ่งเป็นพื้นที่ของป่าสงวนแห่งชาติและบางส่วนเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก.4-01 เจ้าหน้าที่จะได้เก็บรวบรวมหลักฐานที่พบทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ประกอบสำนวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด เพราะเบื้องต้นนายธเนศ ผู้ดูแลโรงโม่หินที่ถูกร้องเรียนยังให้การปฏิเสธไม่ทราบถึงการบุกรุกดังกล่าว และขณะนี้ยังไม่ได้สั่งให้ทางโรงโม่หยุดการประกอบกิจการ เพราะยังประกอบกิจการอยู่ในเขตสัมปทานบัตรที่ได้ยื่นขออนุญาตไว้
สำหรับความผิดฐานขุดเจาะหินนอกเขตสัมปทานครั้งนี้จะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ฐานร่วมกันยึดถือครองทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท รวมทั้งยังมีข้อหาอื่นที่อาจเกี่ยวข้องหาก