ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 96, 131/2564 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์, พล.ต.ต.สัจจะ คหิรัญ, พล.ต.ต.สมาน สุดใจ, พ ต.อ.ปัทเมฆ สุนทรานุยุตกิจ, พ.ต.อ.จิรวุฒิ จันทร์เพ็ง, พ.ต.ต.สิทธิไพบูลย์ คำนิล, พ.ต.ท.คมกริบ นุตาลัย, ด.ต.สายัณ อบเชย, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-9
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1-6 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการ ประกวดราคาจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รายการอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) ขนาด 30 ครอบครัว สูง 5 ชั้น จำนวน 163 หลัง วงเงิน 3,709,880,000 บาท ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีเจตนาแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบ ด้วยกฎหมายและเอื้อประโยชน์แก่บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำเลยที่ 9 โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อช่วยเหลือ จำเลยที่ 9 ให้เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญา โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำารวจกับสํานักงานตำรวจแห่งชาติ จําเลยที่ 7 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจการจ้าง ได้อาศัยโอกาสที่ตนมีอำนาจหน้าที่ เรียกรับเงินจากจําเลยที่ 9 จำนวน 60,000 บาท เพื่อช่วยเหลือจําเลยที่ 9 ด้วยการอำนวยความสะดวก ในการดำเนินการก่อสร้าง การตรวจการจ้าง การตั้งเรื่องเบิกจ่าย และการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการก่อสร้าง
โดยจำเลยที่ 9 ยินยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 7 เพื่อแลกกับการตอบแทนช่วยเหลือ ในการตรวจการจ้าง จำเลยที่ 8 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงานได้อาศัยโอกาสที่ตน มีอำนาจหน้าที่เรียก รับทรัพย์สินจากจำเลยที่ 9 จำนวน 91,618,000 บาท เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 9 ด้วยการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการก่อสร้าง การตรวจการจ้าง การตั้งเรื่องเบิกจ่าย และการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง โดยจำเลยที่ 9 ยินยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 8 เพื่อแลกกับการตอบแทนช่วยเหลือดังกล่าว ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-6 ตาม ป.อาญา มาตรา 151, 157 และพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10, 12 จำเลยที่ 7-8 ตาม ป.อาญา มาตรา 149, 157 จำเลยที่ 9 ตาม ป.อาญา มาตรา 149, 157, 86 และพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 86 (ผู้สนับสนุน)
พิเคราะห์พยานแล้ว รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-6 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตๆ อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ป.อาญา มาตรา 151, 157 และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้ มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 9 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการพิจารณาหรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้น มีการกระทำผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น ตามพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 10, 12 ความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 151
ส่วนจำเลยที่ 7 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการ อย่างใดในตำแหน่งว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบ ด้วยหน้าที่ตาม ป.อาญา มาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตาม ป.อาญา มาตรา 157
จำเลยที่ 8 เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ในตำแหน่งว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ตาม ป.อาญา มาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตาม ป.อาญา มาตรา 157
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคำนวณราคา เป็นเงินได้กรณีจำเลยที่ 7 จำนวน 60,000 บาท กรณีจำเลยที่ 8 จำนวน 91,618,000 บาท ที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการให้รับตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 32 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปรวมกับทรัพย์สินอื่นหรือมีการจําหน่ายจ่ายโอนเป็นทรัพย์สินอื่นโดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้หรือ การติดตามเอาคืนจะกระทําได้โดยยากเกินสมควร จึงให้จําเลยที่ 7-8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบชำระ เป็นเงินจำนวนดังกล่าวแทนตามมูลค่า ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา จำเลยที่ 9 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-6 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ป.อาญา มาตรา 86
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-6 เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อ กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยที่ 1-6 จำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 390,000 บาท
จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 8 จำคุก 19 ปี จำเลยที่ 9 ปรับ 260,000 บาท แต่ทางนำสืบของจำเลยที่ 1-8 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ดังนั้น จําเลยที่ 1-6 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 260,000 บาท จำเลยที่ 7 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 8 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือน
ให้ริบทรัพย์สินของจำเลยที่ 7 เป็นเงิน 60,000 บาท และริบทรัพย์สินของจำเลยที่ 8 เป็นเงิน 91,618,000 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยให้จำเลยที่ 7-8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบ เป็นเงินแทนตามมูลค่าดังกล่าวภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา หากจำเลยที่ 1-6 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อาญา มาตรา 29, 30 กรณีต้องกักขัง แทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปีได้ จากนั้นจำเลยที่ถูกจำคุกกำลังติดต่อหาหลักทรัพย์เพื่อร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อไป
ภายหลังมีคำพิพากษา จำเลยทั้ง 8 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7, 8 ส่วนจำเลยที่ 1 -6 อยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณา
หรือ การติดตามเอาคืนจะกระทําได้โดยยากเกินสมควร จึงให้จําเลยที่ 7-8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบชำระ เป็นเงินจำนวนดังกล่าวแทนตามมูลค่า ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา จำเลยที่ 9 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-6 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ป.อาญา มาตรา 86
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-6 เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อ กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยที่ 1-6 จำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 390,000 บาท
จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 8 จำคุก 19 ปี จำเลยที่ 9 ปรับ 260,000 บาท แต่ทางนำสืบของจำเลยที่ 1-8 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ดังนั้น จําเลยที่ 1-6 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 260,000 บาท จำเลยที่ 7 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 8 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือน
ให้ริบทรัพย์สินของจำเลยที่ 7 เป็นเงิน 60,000 บาท และริบทรัพย์สินของจำเลยที่ 8 เป็นเงิน 91,618,000 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยให้จำเลยที่ 7-8 ส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบ เป็นเงินแทนตามมูลค่าดังกล่าวภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา หากจำเลยที่ 1-6 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อาญา มาตรา 29, 30 กรณีต้องกักขัง แทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปีได้ จากนั้นจำเลยที่ถูกจำคุกกำลังติดต่อหาหลักทรัพย์เพื่อร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อไป
ภายหลังมีคำพิพากษา จำเลยทั้ง 8 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาติปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7, 8 ส่วนจำเลยที่ 1 -6 อยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณา
ภายหลังครบกำหนดเวลาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวจำเลยที่ 1-6 ไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอคำสั่งพิจารณาประกันของศาลอุทธรณ์