วันที่ 11 เมษายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า
ที่ประชุมรับทราบมาตรการการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางให้สามารถอ้างอิงบัญชี มาตรฐานครุภัณฑ์ของยานพาหนะดัดแปลง : กรณีศึกษารถดัดแปลง ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
โดยกระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว เพื่อป้องกันและปราบปรามทุจริตในการจัดซื้อรถดัดแปลง เช่น รถบรรทุกน้ำ รถบรรทุกขยะมูลฝอย และรถดูดสิ่งปฏิกู ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปได้ ดังนี้
1. การจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลาง ให้สามารถอ้างอิงบัญชีมาตรฐานครุภัณฑ์ ราคาต้นทุน และผลตอบแทนตามปกติทางการค้าของยานพาหนะดัดแปลง : กรณีศึกษารถดัดแปลง ได้แก่ -พิจารณาต้นทุนและอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆ ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายทางการตลาด และภาษี การจดประกอบที่เกี่ยวข้องกับรถดัดแปลง ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม
เห็นว่าแนวทางการกำหนดต้นทุนรถดัดแปลงมีรายละเอียดซับซ้อน เนื่องจากหน่วยงานแต่ละแห่งมีความต้องการใช้รถแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของผู้ผลิต รถดัดแปลงจะผันแปรไปตามคุณลักษณะเฉพาะ อาจทำให้ราคา กลางไม่สะท้อนราคาของรถอย่างแท้จริง ดังนั้น ข้อเสนอแนะของ สำนักงาน ป.ป.ช. จึงเป็นแนวทางที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
2. การบูรณาการฐานข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อประกอบการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งนำหลักเกณฑ์ การคำนวณราคากลางที่แล้วเสร็จไปดำเนินการ ในระบบออนไลน์กลางของภาครัฐ ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะปรับปรุงระบบการจัดซื้อ จัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ให้รองรับข้อมูล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงาน และจัดเก็บข้อมูลการจัดซื้อ รถดัดแปลงและกำหนดรหัสของรถดัดแปลง เพื่อจัดประเภทหมวดหมู่ และคุณลักษณะเฉพาะ ของรถให้อยู่ในรหัสเดียวกัน และเผยแพร่ ลงในเว็บไซต์ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
3. การตรวจสอบเชิงรุกเพื่อป้องกันการสมยอมราคาในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของรถดัดแปลงเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้เสนอราคารายใดรายหนึ่ง เห็นว่า หากจำเป็นต้องกำหนดเป็นตัวชี้วัดในแผนฯ ประจำปีฯ ของหน่วยงาน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือก.พ.ร. เพื่อพิจารณาความเหมาะสม โดยให้เป็นไปตามหลักการของ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 และ พ.ร.ฎ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
4. การนำข้อเสนอแนะจากการประเมินติดตาม การปฏิบัติตามอนุสัญญา UN ว่าด้วยการต่อต้าน การทุจริต ค.ศ. 2003 และข้อเสนอแนะจากคู่มือ พิชิตความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริตในสัญญาภาครัฐ จาก UNDP เช่น ประเด็นการขยายระยะเวลา การพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ มาประกอบ การพิจารณาปรับปรุงกระบวนการทางาน ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น รวมทั้งให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเผยแพร่การดำเนินงานผ่านทางเว็บไซต์ และสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะและประชาคมระหว่างประเทศนั้น
หน่วยงาน พิจารณาเห็นแล้วว่า ระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ตามพ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (จำนวน 7 วัน) มีความเหมาะสมแล้ว หากขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ จะส่งผลให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานของรัฐล่าช้า อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะ กระทรวงการคลังได้เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อ จัดจ้างที่หน้าเว็บไซต์ระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครัฐ ประกอบกับ กค. (กรมบัญชีกลาง)
จากข้อมูลรายงานของ ป.ป.ช. พบว่า ข้อมูลจากระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ของกรมบัญชีกลาง ตั้งแต่ปี 2552-2561 มีสัญญาซื้อขายรถดัดแปลงระหว่างหน่วยงานของรัฐกับบริษัทเอกชน จำนวน 1,721 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินทั้งสิ้น 8,634.68 ล้านบาท
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงให้ความสำคัญ สั่งการให้ช่วยกันระมัดระวัง และยกระดับ ความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทุกหน่วยงานจึงต้องทำให้การจัดหา จัดซื้อเกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ต้องไม่เอื้อ ประโยชน์แก่รายใดรายหนึ่ง ต้องระมัดระวังเพื่อให้ประเทศไทย สามารถยกระดับ ลำดับ คะแนนความโปร่งใสจากการประเมินของหน่วยงานสากล ให้อยู่ในระดับดับที่มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น