นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการส่งออกรายสินค้าที่เป็นธุรกิจของคนไทยในปี 2565 ซึ่งสร้างมูลค่าส่งออกให้แก่ประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 ของมูลค่าส่งออกรวม โดยมี 13 รายการสินค้าส่งออกของคนไทย ที่มีอัตราขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องทุกเดือนในปี 2565 แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาจะประสบกับความท้าทายจากสถานการณ์ระหว่างประเทศ และปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ใช้ฐานข้อมูล ศึกษาและจัดทำข้อมูลการส่งออกรายสินค้าที่ส่งออกโดยธุรกิจที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ พบว่า ธุรกิจของคนไทยสามารถสร้างมูลค่าส่งออกให้แก่ประเทศในปี 2565 เป็นจำนวน 73,603.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 ของมูลค่าส่งออกรวม จากจำนวนผู้ส่งออกทั้งสิ้น 15,337 ราย โดยธุรกิจของคนไทยในภาคการผลิตที่สร้างมูลค่าส่งออกมากเป็น 5 อันดับแรก คือ ธุรกิจผลิตโลหะมีค่า เช่น ทองคำ ธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้น ธุรกิจผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง ธุรกิจผลิตยางแผ่นและยางแท่ง และธุรกิจผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ส่วนธุรกิจภาคบริการ 5 อันดับแรก คือ ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ธุรกิจขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสีข้าว ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าและตัวแทนออกของ (ตัวแทนดำเนินพิธีการศุลกากร) ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว และ ธุรกิจขายส่งผักและผลไม้
นอกจากนี้ ยังพบว่า ในปี 2565 มีสินค้าส่งออกที่มีอัตราขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องทุกเดือน จำนวน 13 รายการ ได้แก่ (1) โทรศัพท์และอุปกรณ์ (2) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (3) เครื่องประดับแท้ (4) ทองแดงและของทำด้วยทองแดงอื่น ๆ (5) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง (6) สีทาและวาร์นิช และวัตถุตกแต่งสีอื่น ๆ (7) ผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ทางเภสัชกรรม (8) ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถปิกอัพ รถบัส (9) เนื้อและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ที่บริโภคได้ (10) วิสกี้ (11) อัญมณีสังเคราะห์ (12) ถุงมือหนัง เครื่องแต่งกายและเข็มขัด และ (13) หัวน้ำหอมและน้ำหอม
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการไทยซึ่งถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญของเศรษฐกิจ ผ่านการดำเนินมาตรการสนับสนุนธุรกิจของคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ติดตามทิศทางการส่งออกของไทย และแสวงหาแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวเท่าทันนวัตกรรม และตลาดโลก รวมถึงแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจของคนไทยเจริญเติบโต และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดส่งออกของโลกได้” นายอนุชาฯ กล่าว