ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
วัสยศ งามขำ อุปนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
31 พ.ค. 2566

จากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัล ทำให้การสื่อสารยุคสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อวงการสื่อสารมวลชนประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งรูปแบบการบริโภคสื่อที่ไม่เน้นสื่อสิ่งพิมพ์แต่เน้นความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย อย่างสื่อออนไลน์มากขึ้น จากอดีตที่มีสื่อหลักอยู่อย่างจำกัด แต่ปัจจุบันกลับมีสื่อออนไลน์ หรือแม้แต่สื่อพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมาก

อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ฉบับนี้เลยขอนำท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับหนึ่งในเหยี่ยวข่าวที่เคี่ยวกรำฝีมือในการทำข่าวมาอย่างยาวนานกว่า 26 ปี และยังเคยทำข่าวในที่หลากหลาย ทั้งข่าวอาชญากรรม ข่าวคุณภาพชีวิต และข่าวเหตุการณ์ความไม่สงบ 3 ชายแดนภาคใต้ จึงถือเป็นนักข่าวฝีมือคนหนึ่ง นั่นก็คือ วัสยศ งามขำ อุปนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

คุณวัสยศ งามขำ ได้เล่าพื้นเพให้ฟังว่า ตัวเขาเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด ช่วงมัธยมศึกษาปที่ 1 ถึง 6 ได้เข้าไปศึกษาอยู่ที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และเนื่องจากได้มีโอกาสเห็นคุณพ่อ วิชเลิศ งามขำ อดีตเหยี่ยวข่าวกองปราบ อดีตหัวหน้าข่าวอาชญากรรม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ทำข่าวมาโดยตลอด จึงเกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากจะเป็นนักข่าวเหมือนพ่อ โดยคุณวัสยศ บอกถึงความสนใจที่เดินสายนักข่าวเอาไว้ว่า

“ผมได้เห็นคุณพ่อทำข่าวสามารถช่วยเหลือคนได้ ก็คือใช้ความรู้ความสามารถการเป็นนักข่าวไปช่วยเหลือชาวบ้าน ทำข่าวชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันนั้นเราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าจะต้องช่วยเหลือคน และทำให้รู้ว่า การช่วยเหลือชาวบ้านอื่นได้ นอกจากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็มีอาชีพนักข่าวที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้ ผ่านบทความที่ออกมาทางสื่อในความสามารถของเรา”

คุณวัสยศ บอกอีกว่า นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตัวเขาสนใจอยากจะศึกษาในศาสตร์นี้ เลยได้เข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยได้เรียนในสาขาวารสารศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งหลังจากเรียนจบก็ได้มีโอกาสไปฝึกงานที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ จนจบการศึกษาช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่หลายๆ ธุรกิจเจอสึนามิทางเศรษฐกิจโหมกระหน่ำ จนธุรกิจล้มหายตายจากกันรวมถึงธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์เองก็โดนหนักเช่นกัน

ทำให้ในเวลานั้นไม่มีสื่อหรือหนังสือพิมพ์ไหนเปิดรับนักข่าวเข้าไปทำงานเลย ตัวเขาจึงย้อนกลับไปขอทำงานที่บางกอกโพสต์อีกครั้ง โดยเสนอไม่ขอรับค่าจ้าง ซึ่งทางบางกอกโพสต์ก็ยินดีและให้เข้าทำงาน จนเมื่อทำได้ประมาณ 2 ปี ก็ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ

ซึ่งช่วงแรกๆ ที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานที่บางกอกโพสต์ ทางสำนักพิมพ์เขากำลังขาดนักข่าวอาชญากรรมอยู่พอดี ทำให้ตัวเขาได้มีโอกาสไปทำข่าวสายประจำอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลประมาณ 4 ปี ก่อนจะถูกย้ายมาประจำอยู่ที่กองปราบปรามจนถึงปัจจุบัน ซึ่งที่นี่เองทำให้มีโอกาสทำข่าวหลากหลาย ทั้งข่าวค้ามนุษย์ ข่าวอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ข่าวอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ได้รับมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ตลอดเส้นทางนักข่าวตลอด 26 ปีตัวเขาได้ทำข่าวในสายตำรวจโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ได้เกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นอาวุธปืนที่ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งอยู่ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถือเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบและเป็นการเปิดตัวตนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ให้ความสำคัญประเด็นอย่างมาก

ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์จึงได้มอบหมายคุณวัสยศให้ลงไปทำข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับช่างภาพ โดยได้ขึ้นๆ ลงๆระหว่างกรุงเทพฯ กับพื้นที่สีแดงนานกว่า 5 ปี ซึ่งในโอกาสนี้ทำให้ได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ ได้สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสังคมเมืองว่าเป็นอย่างไร และปัจจุบันยังลงไปสัมผัสกับพื้นที่บ้านในบางครั้ง ทำให้มีโอกาสไปเป็นคณะทำงานศูนย์ข่าวอิศรา โต๊ะข่าวภาคใต้ ที่เน้นการเขียนข่าวในเชิงสร้างสรรค์ท่ามกลางความรุนแรงเพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นถึงความสวยงามที่ยังคงมีอยู่ในพื้น 3 ขายแดนภาคใต้ โดยเน้นมองหาประเด็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความกลมเกลียว ความอบอุ่นที่มีอยู่ในพื้นที่ถือเป็นการทำข่าวในเชิงสมานฉันท์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความปรองดองของคนในพื้นที่นั้นยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ยังคลุกคลีกับการรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตอบสีเหลือง สีแดง และหลากหลายสี

ซึ่งหลังจากทำงานกับสำนักพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ซักพัก ก็ได้หาความรู้เพิ่มเติม ผ่านการเรียนต่อปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์ รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านเสริมสร้างสังคม สันติสุข รุ่นที่ 2 (สสสส 2) และหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย รุ่น 2 (ปนป. 2) สถาบัน พระปกเกล้า มีผลงานการเขียนรวมเล่มที่ออกในนามสมาคมนักข่าวฯ * ปักหมุดเทใจ, รวมใจเป็นหนึ่ง คือความหวังของเรา, ฟ้าหม่นเจดีย์ หักที่ปักษ์ใต้, สนามข่าวสีแดง, คู่มือการรายงานข่าวในสถานการณ์ ความขัดแย้ง, บันทึกคนข่าว 4 ตุลา และวารสารราชดำเนิน นอกจากนี้ยังได้อบรมกับศาลยุติธรรมที่มีจัดหลักสูตรให้ความรู้กับสื่อมวลชน ซึ่งมีเปิดอบรมให้เรียนทุกๆ ปี คุณวัสยศก็ได้ไปเรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

“การเป็นนักข่าว ทำให้ผมได้มีโอกาสเปิดมุมรู้หลายๆ มุม เนื่องจากผมก็ได้มีการข้ามทำข่าวสายอื่นๆ ด้วย ทำให้ได้มีโอกาสรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ระบบการร้องเรียนร้องทุกข์เมื่อรู้กลไกต่างๆ แล้วก็จะทำให้ช่องทางไหนที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านได้ หรือประชาชนทั่วไปที่ถูกใช้กฎหมายกับเขาอย่างไม่เป็นธรรม เราอาจจะไม่แม่นกฎหมายเหมือนนักกฎหมาย ทนายความหรือผู้พิพากษา แต่ส่วนหนึ่งในระบบขั้นตอนของกฎหมายก็ทำให้เราได้รู้และเปิดกว้าง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้”อุปนายกฯ กล่าวถึงสิ่งที่ได้จากการเป็นนักข่าว

                เมื่อ อปท.นิวส์ ถามถึงยุคสมัยของการธุรกิจการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป ระหว่างอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไร นายวัสยศ เสริมว่า ด้วยปัจจุบันการเป็นผู้ทำข่าวง่ายขึ้นอย่างมาก ประกอบกับมีสื่อออนไลน์เข้ามีบทบาทมากขึ้น ทำให้การรับข่าวสารของประชาชนปรับเปลี่ยนไปซึ่งตัวเขาเองก็ได้มีโอกาสไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น และได้ตั้งคำถามกับหนังสือพิมพ์ที่ญี่ปุ่นถึงฤติกรรมของคนญี่ปุ่นว่ามีการเสพข่าวจากสื่อออไลน์หรือหรือนักข่าวพลเมืองบ้างหรือไม่ซึ่งก็พบว่าคนญี่ปุ่นไม่นิยมมากเท่าไหร่นัก เพราะก่อนที่คนญี่ปุ่นจะเลือกเสพข่าวใดๆ ก็ตาม มักจะพิจารณาก่อนว่า เป็นสื่อประเภทไหน เช่น หนังสือพิมพ์ไหม สื่อทีวีหรือสื่อออนไลน์หรือไม่

                ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยจะพบว่า ด้วยบริบทของสังคมที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการสื่อสารในสังคมไทย ทำให้การทำสื่อและการรับสื่อของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยประชาชนทั่วไปเพียงมีเฟซบุ๊ก หรือกล้องก็สามารถถ่ายทอดความเป็นนักข่าวออกมาและสามารถเรียกตนเองว่านักข่าวได้แล้ว ต่างจากในอดีตที่ยังไม่มีสื่อออนไลน์คนยังรับข่าวสารผ่านหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์เป็นหลักซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สำนักข่าวที่เป็นเว็บไซต์เกิดขึ้นมากมาย ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะยิ่งมีนักข่าวเป็นสายตาที่คอยตรวจสอบ ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกละเมิดสิทธิ์ มีช่องทางในการเรียกร้องปกป้องสิทธิ์ตัวเองผ่านการนำเสนอข่าวในลักษณะผู้สื่อข่าวพลเมือง

                อย่างไรก็ตาม อยากให้ผู้ที่เลือกที่จะทำสื่อได้ย้อนกลับไปตรวจสอบขอบเขตในการเป็นผู้สื่อข่าวว่าเป็นอย่างไร เพราะผู้สื่อข่าวพลเมืองบางคน อาจยังไม่มีประสบการณ์ หรือไม่มีนโยบายบริษัท จึงทำให้การนำเสนอข่าวออนไลน์ อาจไม่ทราบถึงขอบเขตภายใต้กฎกติกาที่ควรจะเป็นหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการตรวจสอบจะทำให้การนำเสนอมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ สมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เลยได้เปิดฝึกอบรมนักข่าวพลเมืองสำหรับชาวบ้านที่สนใจอยากทำข่าวออนไลน์ เพื่อให้รู้หลักของการทำข่าวที่พึงกระทำหรือไม่ควรกระทำ ขณะเดียวผู้บริโภคสื่อก็ต้องพิจารณาและเลือกรับสื่อด้วย เน้นไปที่สื่อที่มีความน่าเชื่อถือ และควรบริโภคมากกว่า 1 สื่อ

                สำหรับคุณสมบัติคนที่อยากเป็นทำสื่อควรเป็นลักษณะแบบใด ทางอุปนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์ฯ ได้ให้แนวคิดเอาไว้ว่า การเป็นนักข่าวนั้นต้องยอมรับก่อนว่า มีรายได้ไม่มากนัก และหากคุณเลือกจะเดินสายนี้คุณอาจไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือเพื่อนเลย ดังนั้นคนที่เข้ามาเป็นนักข่าวควรมีความเสียสละและความมุ่งมั่น รวมไปถึงต้องมีความรอบคอบ ความช่างสังเกต และต้องรู้จักแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น ๆ ให้ได้

                “การทำข่าวในปัจจุบันสามารถทำให้ผู้คนเริ่มมีชื่อเสียง ตอนผมเป็นนักข่าวเด็กๆ เมื่อก่อนการจะเป็นผู้ประกาศข่าวได้นั้นค่อนข้างได้ยากลำบาก แต่สมัยนี้เด็กรุ่นใหม่พร้อมที่จะรายงานสดตลอดเวลา ผมเชื่อมั่นในความเก่งกาจของคนรุ่นใหม่ ผมเป็นคนทำหนังสือพิมพ์เป็นคนเบื้องหลังพูดไปคนอาจรู้จักชื่อแต่ไม่รู้จักหน้า แต่คนรุ่นใหม่พร้อมที่จะเปิดเผยหน้า อีกทั้งมีฝีไม้ลายมือที่ดี จึงอยากให้อดทนเมื่อเข้ามาทำงาน ต่อสู้กันไปด้วยกันนานๆ”คุณวัสยศกล่าวทิ้งท้าย

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...